คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5364/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า ค่าเช่าตึกแถวพิพาทเดือนละ400 บาท ที่จำเลยเรียกเก็บจากโจทก์ตามหนังสือสัญญาเช่า เป็นค่าเช่าต่ำกว่าความเป็นจริงไม่ใช่เป็นจำนวนเงินอันสมควรที่จะให้เช่าได้ พนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมมีอำนาจประเมินค่ารายปีได้โดยคำนึงถึงลักษณะของทรัพย์สินขนาด พื้นที่ ทำเลที่ตั้งและบริการสาธารณะที่ทรัพย์สินนั้นได้รับประโยชน์ตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกำหนด ที่คณะเทศมนตรีของจำเลยชี้ขาดว่า ค่ารายปีของตึกแถวพิพาทจำนวน 10,800 บาท จากระยะเวลารวม 9 เดือน หรือตกเดือนละ 600 บาท ต่อห้อง เป็นคุณแก่โจทก์แล้วไม่มีเหตุจะเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงการประเมินและคำชี้ขาดที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ค่าเช่าที่จำเลยเรียกเก็บจากโจทก์ตามหนังสือสัญญาเช่ามิใช่ค่าเช่าที่ต่ำกว่าความเป็นจริง ได้กำหนดกันไว้แน่นอนมิได้กระทำขึ้นโดยสมยอม ทรัพย์สินที่เช่าเป็นของจำเลยเองถือได้ว่าจำเลยได้ยอมรับว่าค่าเช่านั้นเป็นค่าเช่าอันสมควรที่จะให้เช่าได้ไม่มีเหตุที่จะทำให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยจะประเมินค่ารายปีเป็นอย่างอื่นได้นั้น เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยมาดังกล่าวแล้ว เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงและคดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาทต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528มาตรา 25

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้เช่าตึกแถวเลขที่ 9/6 หมู่ที่ 5ตำบลโสนลอย อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี จากจำเลยเพื่ออยู่อาศัยและทำการค้าด้วยมีกำหนด 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน2535 เป็นต้นไป โดยกำหนดค่าเช่าปีที่ 1 ถึงปีที่ 3 เดือนละ 400 บาทปีที่ 4 ถึงปีที่ 6 เดือนละ 500 บาท และปีที่ 7 ถึงปีที่ 10 เดือนละ600 บาท และโจทก์มีหน้าที่ต้องเสียภาษีโรงเรือนและที่ดินให้แก่จำเลยเจ้าพนักงานของจำเลยได้แจ้งการประเมินเพื่อเรียกเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีภาษี 2535 สำหรับตึกแถวที่โจทก์ได้เช่ามาจากจำเลยตั้งแต่เดือนเมษายน 2535 ถึงเดือนธันวาคม 2535 รวมระยะเวลา9 เดือน โดยกำหนดค่ารายปี จำนวน 10,800 บาท เป็นค่าภาษีจำนวน1,350 บาท โจทก์เห็นว่าเป็นการประเมินไม่ถูกต้องเพราะเจ้าพนักงานของจำเลยกำหนดขึ้นมาใหม่เอง โจทก์จึงได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินนั้นใหม่ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด จำเลยพิจารณาแล้วมีคำชี้ขาดให้โจทก์เสียภาษีตามที่ได้ประเมินโจทก์ได้รับทราบคำชี้ขาดจากจำเลยเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2536โจทก์ได้เสียภาษีโรงเรือนและที่ดินไปตามนั้น โจทก์เห็นว่าการประเมินและคำชี้ขาดของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการกำหนดค่ารายปีตามที่ประเมินขัดต่อพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช2475 มาตรา 8 ที่แก้ไขแล้ว เพราะจำเลยกำหนดขึ้นมาใหม่ โดยไม่มีเหตุบ่งชี้ว่าค่าเช่าตึกแถวตามสัญญาเช่านั้นมิใช่จำนวนเงินอันสมควรที่จะให้เช่าได้ในปีหนึ่ง ๆ ตึกแถวดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่โจทก์เช่ามาจากจำเลยมีกำหนดเวลา 10 ปี กำหนดค่าเช่าไว้แน่นอนปีที่ 1ถึงปีที่ 3 เดือนละ 400 บาท ค่าเช่าตามสัญญาจึงเป็นค่าเช่าอันสมควรที่จะใช้เป็นหลักในการคำนวณค่ารายปี เพราะมิได้กระทำขึ้นโดยสมยอมการคำนวณภาษีโรงเรือนและที่ดินประจำปีภาษี 2535 ของจำเลย จึงต้องนำค่าเช่าเดือนละ 400 บาท มาคูณด้วยระยะเวลาการเช่าจำนวน 9 เดือนคิดเป็นค่ารายปีจำนวน 3,600 บาท เป็นค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินจำนวน 450 บาท ขอให้เพิกถอนการประเมินและคำชี้ขาดของจำเลยกับให้จำเลยคืนเงินค่าภาษีที่โจทก์ชำระเกินไป จำนวน 900 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันครบกำหนด 3 เดือนเป็นต้นไปจนกว่าจะคืนเงินภาษีแล้วเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ตึกแถวที่พิพาทตามฟ้องโจทก์เช่าอยู่อาศัยมาก่อนเป็นเวลา 30 ปีแล้ว โดยโจทก์เสียค่าเช่าในอัตราที่ต่ำกว่าปกติเนื่องจากเป็นตึกแถวที่ผู้เช่าเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการปลูกสร้างลงในที่ดินของจำเลยแล้วยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยผู้เช่ามีสิทธิเช่าอยู่ภายในกำหนดเวลา 30 ปี ซึ่งเพิ่งจะครบกำหนดในเดือนมีนาคม 2535 โจทก์จำเลยจึงเข้าทำสัญญาเช่าใหม่มีกำหนดเวลาเช่า10 ปี นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2535 เป็นต้นไป และกำหนดให้โจทก์ผู้เช่าเป็นผู้ชำระภาษีโรงเรือนและที่ดินตามกฎหมายและระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการจัดหาประโยชน์ในทรัพย์สินของหน่วยงานบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2531 แต่ให้จำเลยยังคงเก็บค่าเช่าในอัตราที่ต่ำกว่าค่าเช่าปกติทั่ว ๆ ไป เช่นเดิม ค่าเช่าตามสัญญาเช่าที่โจทก์อ้างจึงไม่ใช่ค่าเช่าอันสมควรในการที่จะกำหนดเป็นค่ารายปีตามกฎหมาย เจ้าพนักงานของจำเลยจึงได้ประเมินใหม่โดยคำนึงถึงลักษณะของทรัพย์สิน ขนาดพื้นที่ทำเลที่ตั้งและบริการสาธารณะที่ทรัพย์สินนั้นได้รับประโยชน์ชนิดเดียวกันตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายเป็นเกณฑ์การประเมิน นอกจากนี้ในชั้นพิจารณาคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดินใหม่ของโจทก์เจ้าพนักงานยังได้พิจารณาลดค่ารายปีให้แก่โจทก์เป็นพิเศษและประเมินเพียง 9 เดือนเท่านั้น ซึ่งเป็นประโยชน์และเป็นธรรมแก่โจทก์เป็นอย่างมากแล้ว การประเมินและการชี้ขาดตามใบแจ้งคำชี้ขาดของเจ้าพนักงานของจำเลยได้กระทำไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า เห็นว่า ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า ค่าเช่าตึกแถวพิพาทเดือนละ 400 บาท ที่จำเลยเรียกเก็บจากโจทก์ตามหนังสือสัญญาเช่า เป็นค่าเช่าต่ำกว่าความเป็นจริงไม่ใช่เป็นจำนวนเงินอันสมควรที่จะให้เช่าได้ พนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมมีอำนาจประเมินค่ารายปีได้โดยคำนึงถึงลักษณะของทรัพย์สินขนาด พื้นที่ ทำเลที่ตั้งและบริการสาธารณะที่ทรัพย์สินนั้นได้รับประโยชน์ตามหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยกำหนดที่คณะเทศมนตรีของจำเลยชี้ขาดว่า ค่ารายปีของตึกแถวพิพาทจำนวน10,800 บาท จากระยะเวลารวม 9 เดือน หรือตกเดือนละ 600 บาท ต่อห้องเป็นคุณแก่โจทก์แล้วไม่มีเหตุจะเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงการประเมินและคำชี้ขาด ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ค่าเช่าที่จำเลยเรียกเก็บจากโจทก์ตามหนังสือสัญญาเช่ามิใช่ค่าเช่าที่ต่ำกว่าความเป็นจริง ได้กำหนดกันไว้แน่นอนมิได้กระทำขึ้นโดยสมยอม ทรัพย์สินที่เช่าเป็นของจำเลยเองถือได้ว่าจำเลยได้ยอมรับว่าค่าเช่านั้นเป็นค่าเช่าอันสมควรที่จะให้เช่าได้ไม่มีเหตุที่จะทำให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยจะประเมินค่ารายปีเป็นอย่างอื่นได้นั้น เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยมาดังกล่าวแล้วเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงและคดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาท ต้องห้ามมิให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 25 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์

Share