คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5284/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ฎีกาจำเลยที่ว่า โจทก์ปรับอัตราดอกเบี้ยโดยมิได้บอกกล่าวให้จำเลยทราบเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นการขัดต่อระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการปรับอัตราดอกเบี้ย มิใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อจำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์จึงยกขึ้นฎีกาไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 5 ร่วมกันชำระเงิน 2,242,374.24 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 2,170,326.51 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดชำระเงินจำนวน79,473.48 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน76,104.94 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้นและให้จำเลยที่ 4 ร่วมรับผิดชำระเงินจำนวน 644,547.76 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 623,838.36 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้นแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งห้าไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ขอให้ยึดทรัพย์สินซึ่งจำนองและทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลยทั้งห้าออกขายทอดตลาดนำเงินสุทธิมาชำระหนี้แก่โจทก์ครบถ้วน
จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้คดี
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 3 ให้การต่อสู้คดี
จำเลยที่ 4 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 5 ให้การต่อสู้คดี
ระหว่างพิจารณาศาลอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 2จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 5 ร่วมกันชำระเงิน 1,718,614.44 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีแบบทบต้นนับแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2529 ถึงวันที่ 19 กุมภาพันธ์2530 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี แบบไม่ทบต้นจากยอดหนี้ในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2530 นับแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2530เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยหักเงิน 223,438.48 บาท ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ชำระแล้วออกก่อน ในจำนวนดังกล่าวให้จำเลยที่ 4ร่วมรับผิดด้วยจำนวน 545,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแบบทบต้นอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 กรกฎาคม 2529 ถึงวันที่ 19กุมภาพันธ์ 2530 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี แบบไม่ทบต้นนับแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่น ๆ ของจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5ออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์จนครบ
จำเลยที่ 1 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาข้อต่อไปที่ว่า โจทก์ปรับอัตราดอกเบี้ยโดยมิได้บอกกล่าวให้จำเลยทราบเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นการขัดต่อระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยการปรับอัตราดอกเบี้ยเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ขอให้ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยด้วยนั้น เห็นว่า ข้อกฎหมายดังกล่าวมิใช่เป็นปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่อย่างใด เมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์จึงยกขึ้นฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share