แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดมีที่ดินรวมกันเนื้อที่300 ไร่เศษ แต่สิทธิครอบครองที่ดินซึ่งโจทก์แต่ละคนกล่าวอ้างสามารถแยกต่างหากจากกันได้ ราคาทรัพย์สินที่พิพาทในชั้นฎีกาย่อมต้องถือตามราคาที่ดินที่โจทก์แต่ละคนอ้างว่าเป็นของตนเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาว่าต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงหรือไม่ เมื่อที่ดินที่โจทก์แต่ละคนกล่าวอ้างว่าเป็นของตนมีราคาไม่เกิน 200,000 บาทศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ด โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดฎีกา ราคาทรัพย์สินที่พิพาทในชั้นฎีกาของโจทก์แต่ละคนจึงไม่เกิน 200,000 บาท คดีของโจทก์แต่ละคนจึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดมีที่ดินซึ่งเป็นที่นาเนื้อที่รวมกัน 300 ไร่เศษ ได้มาโดยการครอบครองและรับโอนการครอบครองติดต่อกันมา ไม่ขาดสาย ตั้งแต่ก่อนประกาศใช้พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 เมื่อทางราชการประกาศให้ผู้ที่ได้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินไปแจ้งการครอบครองต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดได้ไปแจ้งการครอบครองถูกต้องแล้ว จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งนายอำเภอ จำเลยที่ 2ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จำเลยที่ 3 เป็นนิติบุคคลสังกัดกระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่ดูแลรักษาที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เมื่อปี 2525 โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดได้รับหนังสือจากจำเลยที่ 1 แจ้งว่า พวกโจทก์บุกรุกที่ดินอันเป็นสาธารณประโยชน์ทำเลเลี้ยงสัตว์ ซึ่งทางราชการได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่สาธารณประโยชน์ทำเลเลี้ยงสัตว์ไว้เมื่อปี 2494 อันเป็นระยะเวลาหลังจากที่พวกโจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินแล้ว และให้พวกโจทก์ออกจากที่ดินดังกล่าวโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดไม่ยอมออก เนื่องจากการสำรวจดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงถูกจำเลยที่ 2 ดำเนินคดีอาญาข้อหาบุกรุกที่ดินอันเป็นสาธารณประโยชน์ทำเลเลี้ยงสัตว์ ทั้งจำเลยที่ 2 มีคำสั่งจำหน่ายส.ค.1 และ น.ส.3 ที่ดินแปลงที่พวกโจทก์ครอบครอง เป็นเหตุให้พวกโจทก์เสียหาย ขอให้เพิกถอนทะเบียนที่ดินสาธารณประโยชน์แปลงที่ 55 และเพิกถอนคำสั่งจำหน่าย ส.ค.1 และ น.ส.3 ของจำเลยที่ 2
จำเลยทั้งสามให้การว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ทำเลเลี้ยงสัตว์ร่วมกันของพลเมืองอันเป็นที่สาธารณประโยชน์โดยสภาพมาก่อนปี 2478ต่อมานายอำเภอได้สำรวจและจัดทำทะเบียนเป็นที่สาธารณประโยชน์ไว้ถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายเมื่อปี 2494 การที่โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยการจับจองเองหรือรับโอนการครอบครองมา ไม่ก่อให้เกิดสิทธิใด ๆ แก่โจทก์ ทั้งเป็นการบุกรุกที่สาธารณประโยชน์ การแจ้งการครอบครองรวมทั้งหลักฐานที่ได้จากการแจ้งการครอบครองของโจทก์ทั้งหมดเป็นการไม่ชอบคำสั่งจำหน่าย ส.ค.1 และ น.ส.3 สำหรับที่ดินพิพาทของจำเลยที่ 2เป็นคำสั่งที่ถูกต้องชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 เพราะการขึ้นทะเบียนที่สาธารณประโยชน์เป็นอำนาจหน้าที่ของนายอำเภอที่จะสำรวจและจัดทำ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248วรรคหนึ่ง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534มาตรา 18 ซึ่งมีผลใช้บังคับในขณะโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดยื่นฎีกาบัญญัติว่า “ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทหรือไม่เกินจำนวนที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกาห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง ฯลฯ” คดีนี้ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณะทำเลเลี้ยงสัตว์อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดฎีกาว่า ที่ดินพิพาทเดิมเป็นที่รกร้างว่างเปล่ามาก่อนที่โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดจะเข้าจับจองเป็นเจ้าของ สภาพที่ดินมิใช่เป็นที่สาธารณะที่พลเมืองใช้ร่วมกันมาก่อนไม่เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จึงเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 1 เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงคดีนี้แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่า โจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดมีที่ดินรวมกันเนื้อที่ 300 ไร่เศษ แต่สิทธิครอบครองที่ดินซึ่งโจทก์แต่ละคนกล่าวอ้างสามารถแยกต่างหากจากกันได้ ราคาทรัพย์สินที่พิพาทในชั้นฎีกาย่อมต้องถือตามราคาที่ดินที่โจทก์แต่ละคนอ้างว่าเป็นของตนเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาว่าต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงหรือไม่ปรากฏว่าที่ดินที่โจทก์แต่ละคนกล่าวอ้างว่าเป็นของตนมีราคาไม่เกินกว่า 200,000 บาท ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ดฎีกา ราคาทรัพย์สินที่พิพาทในชั้นฎีกาของโจทก์แต่ละคนจึงไม่เกินกว่า 200,000 บาท คดีของโจทก์แต่ละคนจึงต้องห้ามฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาของโจทก์ทั้งยี่สิบเอ็ด