คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4875/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลสั่งถอดถอนจำเลยออกจากการเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ และแต่งตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ต่อไป จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ถอดถอนจำเลย และโจทก์ไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทรวม 2 ประเด็น คือ สมควรถอดถอนจำเลยจากการเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่หรือไม่ เป็นประเด็นข้อแรกและสมควรตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่หรือไม่เป็นประเด็นข้อ 2 ดังนี้ ที่ศาลอุทธรณ์เห็นสมควรและมีคำพิพากษาตั้งโจทก์เข้าร่วมเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ จึงเป็นการวินิจฉัยในข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นโดยชอบ และเป็นคำพิพากษาตามคำขอในประเด็นข้อ 2 ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการทรัพย์ของผู้ไม่อยู่ร่วมกับจำเลย เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันแล้วในศาลชั้นต้นโดยชอบ และเป็นการพิพากษาเกินคำขอคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบนั้น เป็นฎีกาเกี่ยวกับคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเพียง 200 บาท ตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตาราง 1 ข้อ 2(ก)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นมารดาของนางภาวิณี ศิริวรรณจำเลยเป็นสามีของนางภาวิณี เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2527 นางภาวิณีได้ออกจากบ้าน แล้วหายไปโดยมิได้กลับบ้านอีกเลย ทั้งมิได้ตั้งตัวแทนมอบอำนาจทั่วไปและไม่มีผู้ใดรู้แน่ชัดว่านางภาวิณีเป็นตายร้ายดีอย่างไร ต่อมาจำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของนางภาวิณีโดยให้มีอำนาจเสมือนหนึ่งตัวแทนทั่วไป ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของนางภาวิณีผู้ไม่อยู่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 53และให้มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ปรากฏว่าเมื่อจำเลยได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทรัพย์สินแล้ว จำเลยหาได้ปฏิบัติการตามหน้าที่ไม่ทั้งยังกระทำการอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่นางภาวิณีผู้ไม่อยู่อีกด้วยคือ จำเลยไม่จัดทำบัญชีทรัพย์สินในขณะเมื่อเข้าจัดการอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายและจำเลยได้ถอนเงินของนางภาวิณีที่ฝากไว้แก่ธนาคารโดยพลการ และไม่มีเหตุผล ขอให้สั่งถอดถอนจำเลยออกจากการเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของนางภาวิณีและแต่งตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการทรัพย์สินของนางภาวิณีต่อไป และให้จำเลยนำเงินที่ถอนจากธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาอินทามระ จำนวน226,898.69 บาท มามอบให้โจทก์เพื่อนำไปฝากธนาคารไว้ในนามของนางภาวิณีตามเดิมต่อไปด้วย
จำเลยให้การว่า หลังจากศาลได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้จำเลยเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ จำเลยได้กระทำหน้าที่ในฐานะตัวแทนอย่างสมประโยชน์ของผู้ไม่อยู่ บัญชีทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่จำเลยได้จัดทำไว้เรียบร้อยเมื่อขณะเข้าจัดการ การที่จำเลยถอนเงินฝากของผู้ไม่อยู่ก็เพื่อไปทำการซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้างทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่เพื่อไม่ให้สิ่งปลูกสร้างได้รับความเสียหาย ถือได้ว่าจำเลยในฐานะตัวแทนได้กระทำลงไปเหมือนวิญญูชนจะพึงกระทำ และย่อมมีอำนาจกระทำได้ตามกฎหมาย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ถอดถอนจำเลยออกจากการเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ และไม่มีอำนาจที่จะให้จำเลยนำเงินจำนวน 226,898.69 บาท ไปมอบแก่โจทก์ โจทก์ไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ตั้งนางประเมียร ติยะวนิชโจทก์เป็นผู้จัดการทรัพย์สินของนางภาวิณี ศิริวรรณ ผู้ไม่อยู่ร่วมกับพันตำรวจโทกฤษณ์ ศิริวรรณ จำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยเฉพาะในข้อกฎหมายตามฎีกาจำเลยว่า ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่รวมกับจำเลยนั้นเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นโดยชอบหรือไม่ และเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือไม่เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้ศาลสั่งถอดถอนจำเลยออกจากการเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของนางภาวิณี ศิริวรรณ ผู้ไม่อยู่และแต่งตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ต่อไป จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ถอดถอนจำเลย และโจทก์ไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทรวม2 ประเด็น คือ สมควรถอดถอนจำเลยจากการเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่หรือไม่ เป็นประเด็นข้อแรกและสมควรตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่หรือไม่เป็นประเด็นข้อ 2 ดังนี้ที่ศาลอุทธรณ์เห็นสมควรและมีคำพิพากษาตั้งโจทก์เข้าร่วมเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ จึงเป็นการวินิจฉัยในข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นโดยชอบ และเป็นคำพิพากษาตามคำขอในประเด็นข้อ 2 ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอ
ส่วนคำร้องของจำเลยที่ขอให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาในจำนวนทุนทรัพย์ 226,898 บาท นั้น เห็นว่า ที่จำเลยฎีกาเฉพาะข้อกฎหมายว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการทรัพย์ของผู้ไม่อยู่รวมกับจำเลย เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันแล้วในศาลชั้นต้นโดยชอบและเป็นการพิพากษาเกินคำขอคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบนั้นเป็นฎีกาเกี่ยวกับคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเพียง 200 บาท ตามบัญชีท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ตาราง 1 ข้อ 2 (ก)เมื่อปรากฏว่าจำเลยเสียค่าขึ้นศาลดังกล่าวเกินมา จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกินให้แก่จำเลย
พิพากษายืน ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกิน 200 บาทแก่จำเลย

Share