คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3839/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ขณะที่ฟ้องโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวพิพาทจึงมีอำนาจฟ้องขับไล่ และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยซึ่งอยู่โดยละเมิดได้ แม้ภายหลังฟ้องแล้วโจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวพิพาทให้แก่โจทก์ร่วม อำนาจฟ้องของโจทก์ที่บริบูรณ์อยู่แล้ว ยังคงมีผลอยู่ต่อไป ส่วนโจทก์ร่วมก็เป็นผู้มีส่วนได้เสียในผลแห่งคดีมีสิทธิร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57(2)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินและส่งมอบตึกแถวเลขที่ 247/3-4 ถนนเจริญนครแขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร รวม 2 ห้อง และที่ดินโฉนดเลขที่ 9011 ตำบลคลองต้นไทร (บางไส้ไก่ฝั่งเหนือ) อำเภอคลองสาน (บางลำภูล่าง) จังหวัดนครหลวงกรุงเทพธนบุรี ให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ห้ามมิให้จำเลยและบริวารยุ่งเกี่ยวกับตึกแถวและที่ดินดังกล่าวอีกต่อไป ให้จำเลยชำระค่าเสียหายเป็นเงิน33,320 บาท และค่าเสียหายในอัตราเดือนละ 20,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินและส่งมอบตึกแถวและที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์เรียบร้อย
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ในวันสืบพยานโจทก์ บริษัทอรุณนคร จำกัด ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินและส่งมอบตึกแถวเลขที่ 247/3-4 ถนนเจริญนครแขวงคลองต้นไทร เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร และที่ดินโฉนดเลขที่ 9011 ตำบลคลองต้นไทร (บางไส้ไก่ฝั่งเหนือ) อำเภอคลองสาน(บางลำภูล่าง) จังหวัดนครหลวงกรุงเทพธนบุรีให้แก่โจทก์ร่วมในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยชำระค่าเสียหายจำนวน 5,100 บาทแก่โจทก์ กับค่าเสียหายในอัตราเดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันที่15 พฤศจิกายน 2532 เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินพร้อมส่งมอบตึกแถวและที่ดินดังกล่าวในสภาพเรียบร้อยแก่โจทก์ร่วม
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า หลังจากโจทก์ฟ้องคดีแล้ว โจทก์โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมตึกแถวพิพาทให้แก่โจทก์ร่วม จะทำให้อำนาจฟ้องของโจทก์หมดไปหรือไม่ และโจทก์ร่วมมีสิทธิขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้หรือไม่พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ขณะที่โจทก์เสนอคำฟ้องต่อศาลโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวพิพาท โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ซึ่งอยู่โดยละเมิดต่อโจทก์ได้แม้ภายหลังฟ้องคดีแล้วโจทก์จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวพิพาทให้แก่โจทก์ร่วมอำนาจฟ้องของโจทก์ที่บริบูรณ์อยู่แล้วยังคงมีผลอยู่ต่อไป ส่วนโจทก์ร่วมผู้รับโอนกรรมสิทธิ์จากโจทก์เป็นผู้มีส่วนได้เสียในผลแห่งคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 57(2) ดังนั้น โจทก์ยังคงมีอำนาจฟ้องต่อไป และโจทก์ร่วมมีสิทธิร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชอบแล้วฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share