คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3313/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำร้องของโจทก์ได้ขอให้ผู้พิพากษาคนใดคนหนึ่งที่นั่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกาโดยยื่นพร้อมฎีกาต่อศาลชั้นต้น เป็นการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคท้าย แล้วศาลชั้นต้นจึงต้องส่งคำร้องพร้อมสำนวนไปยังผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์พิจารณาต่อไป

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยทั้งเก้าเป็นคดีอาญาในข้อหาความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอั้งยี่ ซ่องโจร ทำให้เสียเสรีภาพและหมิ่นประมาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 209, 210, 211, 213, 309, 326, 328 และ83 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดการไต่สวนมูลฟ้องและพิพากษาว่าคำบรรยายฟ้องของโจทก์ทั้งสองไม่มีมูลความผิดที่จะรับไว้พิจารณาให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสองได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้น ขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาคดีนี้ในศาลชั้นต้นหรือในศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า เรื่องที่โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องเป็นกรณีที่โจทก์ทั้งสองจะต้องดำเนินการเองมิใช่มายื่นคำร้องขอให้ศาลดำเนินการให้แทน ให้ยกคำร้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ทั้งสองฎีกาว่า คำร้องขออนุญาตฎีกาของโจทก์ทั้งสองได้ขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์พิเคราะห์ข้อความในฎีกาของโจทก์ทั้งสองแล้วอนุญาตให้โจทก์ทั้งสองฎีกาโดยโจทก์ทั้งสองไม่จำต้องระบุชื่อผู้พิพากษา เพราะมีปรากฏอยู่ในสำนวนแล้ว ถือได้ว่าโจทก์ทั้งสองปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248แล้วนั้น บทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าววรรคท้าย บัญญัติไว้ว่าการขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาได้ให้ผู้ยื่นฎีกายื่นคำร้องถึงผู้พิพากษานั้นพร้อมกับคำฟ้องฎีกาต่อศาลชั้นต้น เมื่อศาลได้รับคำร้องเช่นว่านั้น ให้ส่งคำร้องพร้อมด้วยสำนวนความไปยังผู้พิพากษาดังกล่าวเพื่อพิจารณารับรอง ปรากฏตามคำร้องของโจทก์ทั้งสองได้กล่าวไว้ในข้อ 3 วรรคสองว่า โจทก์ทั้งสองจึงขอความกรุณาขอให้ผู้พิพากษาท่านใดท่านหนึ่งที่นั่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาคดีนี้ในศาลอาญาหรือศาลอุทธรณ์ได้พิเคราะห์ข้อความในฎีกาของโจทก์ทั้งสองแล้วกรุณาอนุญาตให้ฎีกาด้วยข้อความที่โจทก์ทั้งสองได้กล่าวไว้ดังกล่าวย่อมเห็นได้ว่าเป็นการยื่นคำร้องถึงผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แล้ว และโจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องดังกล่าวพร้อมกับฎีกาต่อศาลชั้นต้น อันเป็นการปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคท้าย ครบถ้วนแล้วศาลชั้นต้นจึงต้องส่งคำร้องพร้อมด้วยสำนวนความไปยังผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาต่อไป การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งและคำพิพากษาให้ยกคำร้องของโจทก์ทั้งสองไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาดำเนินการต่อไป

Share