คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3105/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาระบุว่า “ถ้าผู้เช่ากระทำผิดสัญญาข้อ 2 และถูกบอกเลิกสัญญา ผู้เช่าย่อมให้ผู้ให้เช่าริบเงินประกันตามข้อ 3 ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากค่าเช่า ที่ผู้เช่าจะต้องชำระหรือชดใช้ตามสัญญานี้” เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยเพราะจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 ไม่ชำระค่าเช่าตามกำหนด โจทก์จึงมีสิทธิริบเงินประกันทั้งหมดนอกเหนือจากสิทธิเรียกค่าเช่าที่ค้างตามสัญญา การที่จำเลยผิดสัญญาจนโจทก์ต้องบอกเลิกสัญญาก่อนกำหนดและโจทก์ต้องดำเนินการหาผู้เช่าสิทธิรายใหม่มาดำเนินการต่อในระหว่างหาผู้เช่าสิทธิรายใหม่ โจทก์ต้องให้บุคคลอื่นเช่าสิทธิไปพลางก่อนโดยได้ค่าเช่าน้อยกว่าที่เคยได้รับจากจำเลยทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ที่ควรได้หากไม่มีการเลิกสัญญากับจำเลยก่อนกำหนด ค่าขาดประโยชน์ดังกล่าวถือได้ว่าเป็นค่าเสียหายที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391 วรรคสี่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาเช่าสิทธิจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มบนขบวนรถไฟของโจทก์ และโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว ขอให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง ค่าปรับ ค่าอุปกรณ์ชำรุด และค่าขาดประโยชน์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในประการแรกว่า จะนำเงินประกันสัญญาเช่าที่จำเลยวางไว้กับโจทก์มาหักชำระค่าเช่าที่จำเลยค้างชำระอยู่ได้หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่าตามสัญญาเช่าสิทธิจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่มระหว่างโจทก์จำเลยตามเอกสารหมาย จ.2 และ จ.3 ข้อ 30 ระบุว่า “ถ้าผู้เช่าบอกเลิกสัญญาก่อนกำหนดหรือแสดงให้เห็นว่าไม่มีความสามารถหรือไม่มีทุนทรัพย์เพียงพอต่อการดำเนินการ หรือกระทำผิดสัญญา ข้อ 2, 11, 22, 27 และ 28ข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายข้อก็ดี และถูกบอกเลิกสัญญา ผู้เช่ายอมให้ผู้ให้เช่าริบเงินประกันตามข้อ 3 ทั้งหมด เป็นส่วนหนึ่งต่างหากจากค่าเช่า ค่าปรับ หรือค่าเสียหายที่ผู้เช่าจะต้องชำระหรือชดใช้ตามสัญญานี้” คดีนี้ปรากฏว่าโจทก์บอกเลิกสัญญาแก่จำเลยเพราะจำเลยผิดสัญญาข้อ 2 ไม่ชำระค่าเช่าตามกำหนด ฉะนั้นโจทก์จึงมีสิทธิริบเงินประกันทั้งหมดนอกเหนือจากสิทธิเรียกค่าเช่าที่ค้างตามสัญญาข้อ 30 ดังกล่าว ส่วนสัญญาข้อ 29 ที่ระบุให้นำค่าเช่าที่ค้างมาหักออกจากเงินประกันตามข้อ 3 จนครบ หากมีเหลือจึงให้คืนแก่ผู้เช่านั้น เป็นกรณีที่ผู้ให้เช่าเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาก่อนกำหนดเวลาที่ระบุไว้โดยมิใช่ความผิดของผู้เช่า จึงไม่อาจนำมาปรับแก่กรณีตามฟ้องนี้ได้ โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเช่าที่ค้างทั้งหมดจำนวน 255,717บาท จากจำเลย นอกเหนือจากการริบเงินประกันสัญญาเช่า ที่ศาลล่างทั้งสองให้นำเงินประกันสัญญาเช่าที่จำเลยวางไว้กับโจทก์มาหักชำระค่าเช่าที่จำเลยค้างชำระอยู่จึงไม่ชอบ
ปัญหาต่อมามีว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่าขาดประโยชน์หลังจากเลิกสัญญาหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391 วรรคสี่ บัญญัติให้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายเนื่องจากการผิดสัญญาได้แม้จะได้มีการบอกเลิกสัญญาแล้ว การที่จำเลยผิดสัญญาจนโจทก์ต้องบอกเลิกสัญญาก่อนกำหนด และโจทก์ต้องดำเนินการหาผู้เช่าสิทธิรายใหม่มาดำเนินการต่อ ในระหว่างหาผู้เช่าสิทธิรายใหม่โจทก์ต้องให้บุคคลอื่นเช่าสิทธิไปพลางก่อน โดยได้ค่าเช่าน้อยกว่าที่เคยได้รับจากจำเลย ทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ที่ควรได้หากไม่มีการเลิกสัญญากับจำเลยก่อนกำหนด ถือได้ว่าเป็นค่าเสียหายที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ตามบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว ศาลฎีกาได้พิเคราะห์ส่วนได้เสียของโจทก์โดยคำนึงถึงเงินประกันสัญญาที่โจทก์ริบจากจำเลยจำนวน 343,500 บาท ประกอบด้วยแล้ว เห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายส่วนนี้ให้ 20,000 บาท ที่ศาลล่างทั้งสองไม่ให้ค่าเสียหายส่วนนี้แก่โจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 275,717 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 7 กันยายน2529 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share