แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์เป็นอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะพิจารณาและมีคำสั่งตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยที่ 1 และที่ 2ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ โจทก์ร่วมย่อมอุทธรณ์คัดค้านของศาลชั้นต้นดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคแรก เพราะคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งภายหลังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว และยังไม่ได้มีการสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 196 ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์มีพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 บังคับใช้ ซึ่งมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวให้ยกเลิกพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำผิด มีอัตราโทษเบากว่ากฎหมายที่ใช้ขณะกระทำความผิดและเป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องใช้กฎหมายใหม่ดังกล่าวบังคับแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 3 ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ย่อมยกขึ้นว่าในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3(1)(3)(5)ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายนพดล รักมนุษย์ ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497มาตรา 3 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 1จำนวน 80,000 บาท จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 10 เดือน ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3
โจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์ แต่จำเลยที่ 1 และที่ 2ยื่นอุทธรณ์หลังจากครบกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์โดยทนายจำเลยที่ 1และที่ 2 ขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์อ้างว่าทนายจำเลยที่ 1 และที่ 2ได้รับอุบัติเหตุในวันครบกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์จึงไม่สามารถยื่นอุทธรณ์ในวันดังกล่าวได้ โจทก์ร่วมคัดค้าน
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วอนุญาตให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ไป 3 วัน นับแต่วันครบกำหนดอุทธรณ์ และมีคำสั่งอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2
โจทก์ร่วมอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์หลังจากครบกำหนดแล้วโดยไม่มีเหตุสุดวิสัยที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่ชอบ อุทธรณ์คำสั่งของโจทก์ร่วมฟังขึ้น และไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เพราะยื่นหลังจากครบกำหนดแล้ว ส่วนอุทธรณ์คำพิพากษาของโจทก์นั้นฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกระทำผิดตามฟ้อง แล้วพิพากษายืน
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1และที่ 2 ข้อแรกว่า คำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์และที่สั่งว่าศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1และที่ 2 เป็นการไม่ชอบนั้นเป็นคำสั่งที่ชอบหรือไม่ เห็นว่าการขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์เป็นอำนาจของศาลชั้นต้นจะพิจารณาที่จะพิจารณาและมีคำสั่งตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาควาามแพ่ง มาตรา 23 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 15 เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาตามคำร้องของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ดังกล่าว โจทก์ร่วมก็ชอบที่จะอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวต่อศาลอุทธรณ์ได้ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคแรก เพราะคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งภายหลังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้วและยังไม่ได้มีการสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงไม่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่ทำให้คดีเสร็จสำนวนจึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 196
ปัญหาวินิจฉัยต่อไปมีว่า การที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยที่ 1และที่ 2 ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ. 2497 มาตรา 3 หลังจากที่มีพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 ใช้บังคับแล้วนั้นชอบหรือไม่เห็นว่า ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์มีพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 บังคับใช้แล้วซึ่งมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวให้ยกเลิกพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 และพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ภายหลังการกระทำผิดบัญญัติเกี่ยวกับโทษไว้ว่าต้องระวางโทษปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งมีอัตราโทษเบากว่ากฎหมายที่ใช้ขณะกระทำความผิดและเป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องใช้กฎหมายใหม่ดังกล่าวบังคับแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 เมื่อปรากฏว่าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามที่ศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 80,000 บาท และจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 10 เดือนซึ่งเฉพาะโทษปรับของจำเลยที่ 1 เกินอัตราโทษที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4 จึงสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4 ให้ปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 50,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์