คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2752/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์นำสืบถึงหนังสือมอบอำนาจเป็นการนำสืบพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงในประเด็นที่พิพาท เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์เป็นประเด็นไว้แล้ว แม้จะไม่ให้การปฏิเสธหนังสือมอบอำนาจซึ่งโจทก์ได้กล่าวอ้างไว้ในคำฟ้อง ก็จะถือว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงในเอกสารดังกล่าวหาได้ไม่ จำเลยย่อมนำสืบหักล้างเอกสารดังกล่าวได้ เพราะเป็นการนำสืบโต้เถียงในประเด็นเดียวกัน หาใช่เป็นการนำสืบนอกเหนือคำให้การไม่ และกรณีก็มิใช่เรื่องการคัดค้านการนำเอกสารมาสืบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125 เมื่อโจทก์แพ้คดีในประเด็นข้อสำคัญแล้ว ประเด็นอื่นที่ไม่เป็นประโยชน์แก่คดีโจทก์ก็ไม่จำต้องได้รับการวินิจฉัยจากศาลอีกศาลจึงไม่จำต้องวินิจฉัยคดีทุกประเด็น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทและปลูกสร้างบ้านบนที่ดินดังกล่าวให้จำเลยอยู่อาศัย และให้จำเลยใส่ชื่อถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินแทนโจทก์ ต่อมาโจทก์แจ้งให้จำเลยโอนชื่อทางทะเบียนในโฉนดที่ดินกลับคืนเป็นชื่อโจทก์ จำเลยได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์ไปดำเนินการจดทะเบียนเอง แต่โจทก์ไม่สามารถดำเนินการได้เนื่องจากหนังสือมอบอำนาจทำไม่ถูกต้อง โจทก์จึงแจ้งให้จำเลยไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อในโฉนดที่ดินเป็นชื่อโจทก์ และส่งมอบที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์อีกครั้ง แต่จำเลยเพิกเฉยขอให้จำเลยไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดดังกล่าวเป็นชื่อโจทก์ หากจำเลยไม่ยอมให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้จำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากบ้านของโจทก์ และส่งมอบที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายวันละ 200 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากบ้านของโจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ซื้อบ้านและที่ดินพิพาทให้จำเลยโดยเสน่หา โจทก์ลักเอาโฉนดที่ดินตามฟ้องของจำเลยไป จำเลยครอบครองบ้านและที่ดินด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ โดยความสงบและเปิดเผยเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องสูงเกินควร ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์ส่งมอบโฉนดที่ดินให้แก่จำเลย หากโจทก์ไม่ยอมให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์เพื่อขอออกโฉนดที่ดินใหม่
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ไม่ได้ซื้อบ้านและที่ดินพิพาทให้จำเลย เพียงแต่ใส่ชื่อจำเลยแทนโจทก์โดยโจทก์เป็นผู้ยึดถือโฉนดที่ดินพิพาทไว้ จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาทคืนให้แก่จำเลย คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยไม่มีสิทธินำสืบคัดค้านเอกสารหมาย จ.18 เนื่องจากจำเลยมิได้ให้การปฏิเสธเอกสารฉบับนี้ซึ่งโจทก์ได้กล่าวอ้างไว้ในคำฟ้อง จึงถือว่าจำเลยยอมรับเอกสารฉบับนี้ ทั้งการนำสืบคัดค้านเอกสารฉบับนี้เป็นการนำสืบนอกเหนือคำให้การและขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 125 นั้น เห็นว่าการที่โจทก์นำสืบถึงหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.18 เป็นการนำสืบพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงในประเด็นที่พิพาท เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์เป็นประเด็นไว้แล้ว แม้จะไม่ให้การปฏิเสธเอกสารหมาย จ.18ก็จะถือว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงในเอกสารนั้นหาได้ไม่ จำเลยย่อมนำสืบหักล้างเอกสารดังกล่าวได้เพราะเป็นการนำสืบโต้เถียงในประเด็นเดียวกัน หาใช่เป็นการนำสืบนอกเหนือคำให้การไม่ และกรณีก็มิใช่เรื่องการคัดค้านการนำเอกสารมาสืบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์มีความสัมพันธ์และได้เสียกับจำเลยฐานชู้สาว โจทก์เป็นคนสูงอายุประสงค์จะผูกมัดจำเลยจึงได้ออกเงินซื้อที่ดินพิพาท และว่าจ้างผู้รับเหมาปลูกสร้างบ้านบนที่ดินพิพาทให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่จำเลยเป็นสิทธิขาดแล้วโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกคืนจากจำเลยได้ ประเด็นเรื่องค่าเสียหายของโจทก์จึงไม่จำต้องวินิจฉัย ที่โจทก์ฎีกาว่าศาลต้องวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาททุกประเด็นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 นั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์แพ้คดีในประเด็นข้อสำคัญแล้วประเด็นอื่นที่ไม่เป็นประโยชน์แก่คดีโจทก์ ก็ไม่จำต้องได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา ศาลจึงไม่จำต้องวินิจฉัยคดีทุกประเด็น
พิพากษายืน

Share