คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2445/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เดิมจำเลยทำสัญญาเช่าที่พิพาทมี ส.ค.1 จาก ล. ผู้มีสิทธิครอบครองครั้นสัญญาสิ้นสุด จำเลยได้ทำสัญญาเช่ากับส. ซึ่งเป็นบุตรของ ล. จำเลยจึงอยู่ในฐานะครอบครองแทนล. ต่อมา ล. บอกเลิกการเช่ากับจำเลยอ้างว่า ส. ให้เช่าโดยไม่ได้รับความยินยอม และจำเลยก็มิได้บอกกล่าว ล. ว่าไม่เจตนายึดถือที่พิพาทแทน ล. ต่อไป ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองโดยสุจริตอาศัยอำนาจใหม่จากบุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 การครอบครอง ของจำเลยจึงหาได้เป็นการแย่งการครอบครองไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายไล้ได้จดทะเบียนโอนขายสิทธิครอบครองที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 186 ให้แก่โจทก์ในราคา 550,000 บาท จำเลยเป็นผู้เช่าที่ดินดังกล่าวจากนายไล้ และครบกำหนดตามสัญญาเช่าโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ จำเลยไม่ยอมออกจากที่ดินของโจทก์ทำให้โจทก์ได้รับใช้ค่าเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 25,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองและไม่ได้ครอบครองที่ดินพิพาทจำเลยต่างหากเป็นผู้มีสิทธิครอบครองโดยเดิมได้ทำสัญญาเช่าจากนายไล้ เพื่อเลี้ยงกุ้ง ต่อมาเมื่อสิ้นสุดสัญญาเช่าในปี 2525 ก็ได้ทำสัญญาเช่ากับนายสังเวียน จนกระทั่งปี 2528นายไล้ได้ให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่าและให้จำเลยส่งมอบที่ดินคืนแก่นายไล้ แต่จำเลยไม่ยอมออกจากที่ดินที่เช่าคงครอบครองที่ดินโดยสงบเปิดเผยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี จึงได้สิทธิครอบครองในที่พิพาท โจทก์รับมอบการครอบครองโดยไม่สุจริตและไม่ได้เสียค่าตอบแทน ไม่มีอำนาจฟ้องและค่าเสียหายตามฟ้องเป็นการคาดคะเนเท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่พิพาท ให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 30,000 บาท และใช้ค่าเสียหายต่อไปอีกเดือนละ 15,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินพิพาทโดยให้เสียดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวข้างต้นแก่โจทก์จนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 2,000 บาท และต่อไปอีกเดือนละ 1,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่พิพาทโดยให้เสียดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวข้างต้นแก่โจทก์จนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีคงมีปัญหาในชั้นนี้ตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยได้สิทธิครอบครองในที่พิพาทหรือไม่…พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยทำสัญญาเช่าที่พิพาทกับนายสังเวียน ไม่ใช่นายไล้ เมื่อนายไล้ได้บอกเลิกสัญญาเช่าโดยอ้างว่า นายสังเวียนเอาที่พิพาทให้จำเลยเช่าโดยไม่ได้รับความยินยอมจากนายไล้สัญญาเช่าย่อมไม่มีผลผูกพัน การที่จำเลยอยู่ในที่พิพาทจึงไม่ได้อาศัยสิทธิการเช่า แต่เป็นการแย่งการครอบครองเมื่อนายไล้ไม่ได้ฟ้องคดีภายในกำหนด 1 ปี จึงไม่มีสิทธิครอบครองแล้วโจทก์ไม่เคยเข้าครอบครองก็ไม่มีสิทธิครอบครองจำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองนั้น เห็นว่า แม้จำเลยทำสัญญาเช่าที่พิพาทกับนายสังเวียนไม่ใช่นายไล้ก็ตาม กรณีเป็นการเข้าไปอยู่ในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิการเช่านั่นเอง จำเลยจึงอยู่ในฐานะผู้แทนผู้ครอบครองเมื่อนายไล้เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาทซึ่งจำเลยมิได้โต้แย้งในข้อนี้ การครอบครองของจำเลยจึงเป็นการครอบครองแทนนายไล้ จำเลยจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือได้ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังนายไล้ว่าไม่เจตนาจะยึดที่พิพาทแทนนายไล้ต่อไป หรือจำเลยเป็นผู้ครอบครองโดยสุจริตอาศัยอำนาจใหม่อันได้จากบุคคลภายนอกตามที่บัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1381 ดังนั้น ต่อมาเมื่อนายไล้ได้ให้ทนายความบอกเลิกสัญญาเช่าแก่จำเลยโดยอ้างว่านายสังเวียนให้จำเลยเช่าที่พิพาทโดยไม่ได้รับความยินยอมจากนายไล้ การที่จำเลยยังคงครอบครองที่พิพาทตลอดมาโดยมิได้บอกกล่าวไปยังนายไล้ว่าไม่เจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนนายไล้ต่อไป และไม่ปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองโดยสุจริตอาศัยอำนาจใหม่อันได้จากบุคคลภายนอกแต่อย่างใด กรณีจึงหาได้เป็นการแย่งการครอบครองไม่จำเลยไม่ได้ซึ่งสิทธิครอบครองในที่พิพาท สิทธิครอบครองในที่พิพาทยังเป็นของนายไล้ เมื่อนายไล้ขายที่พิพาทและส่งมอบ ส.ค.1 ให้แก่โจทก์ถือได้ว่าเป็นการส่งมอบการครอบครองแล้ว โจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่พิพาท ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้วฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share