คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2385/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทั้งสี่กับ ช.เป็นบุตรของท. ส่วนจำเลยเป็นภริยาของ ช.มีบุตรด้วยกัน3คนช. ได้รับที่พิพาทมาด้วยการยกให้ต่อมาปี 2520 ช. จดทะเบียนให้จำเลยและบุตรอีก 2 คน เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาท ช. ถึงแก่กรรมเมื่อปี 2521 หลังจากนั้นจำเลยเป็นผู้ครอบครองทรัพย์มรดกแต่ผู้เดียวโดย ท. ไม่ได้เกี่ยวข้อง ท. ถึงแก่กรรมเมื่อปี 2531 ต่อมาศาลมีคำสั่งตั้งจำเลยให้เป็นผู้จัดการมรดก เมื่อปรากฏว่านับแต่วันที่ ช. ถึงแก่กรรมถึงวันที่ ท. ถึงแก่กรรมเป็นเวลา 10 ปีเศษ แม้จะไม่ปรากฏว่าท.ได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของช.หรือไม่แต่การที่ท.มิได้ฟ้องเรียกมรดกภายในกำหนดเวลา 10 ปี นับแต่วันที่ ช.ถึงแก่กรรม ก็ย่อมขาดอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1754 วรรคท้าย โจทก์ทั้งสี่ฟ้องคดีโดยอาศัยสิทธิของ ท.เมื่อสิทธิของ ท. ในการฟ้องเรียกมรดกขาดอายุความแล้ว คดีโจทก์ทั้งสี่ย่อมขาดอายุความด้วย และเมื่อโจทก์ทั้งสี่ไม่มีสิทธิในที่พิพาทซึ่งเป็นมรดกของ ท. จึงนำบทบัญญัติในมาตรา 1733 วรรคสองแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 481 และ 482 เป็นสินส่วนตัวของนายเทา นายเทาได้ถึงแก่ความตาย เมื่อปี 2521 โดยไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้ที่ดินทั้งสองแปลงจึงเป็นมรดกตกแก่ทายาทโดยธรรมซึ่งได้แก่จำเลยในฐานะภริยากับบุตรทั้งสองและนางทับ ซึ่งเป็นมารดาของนายเทา เฉพาะนางทับมีสิทธิได้จำนวน 1 ใน 16 ส่วนต่อมานางทับได้ถึงแก่ความตาย ที่ดินอันเป็นมรดกในส่วนที่ตกได้แก่นางทับจึงตกแก่โจทก์ทั้งสี่ซึ่งเป็นบุตร ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 481 และ 482 แก่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดฉะเชิงเทรา และจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสี่จำนวน 1 ใน 16 ส่วน หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับนายเทาหรือเชาวน์สามี โดยนางทับมารดาและนางเทียบป้าของนายเทาได้แบ่งแยกที่ดินทั้งสองแปลงให้แก่นายเทาและมีเจตนายกให้เป็นสินสมรสและให้ไว้เพื่อเลี้ยงครอบครัว เมื่อนายเทาถึงแก่ความตายจนถึงวันที่นางทับถึงแก่ความตายเป็นเวลา 10 ปีเศษนางทับก็ไม่เคยทวงถามและขอส่วนแบ่งที่ดินทั้งสองแปลงนั้นฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 481 และ 482 ให้แก่โจทก์ทั้งสี่จำนวน 1 ใน 25 ส่วนหากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสี่
โจทก์ทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ข้อเท็จจริงที่ยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสี่กับนายเทาหรือเชาวน์เป็นบุตรของนางทับ จำเลยเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายเทา มีบุตรด้วยกัน 3 คน คือนางเชาวณี นายชฎิล และนางสาวชฎาพร ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงนางเทียบและนางทับยกให้นายเทา ต่อมาเมื่อปี 2520 นายเทาได้จดทะเบียนให้จำเลยกับนางเชาวณี และนางสาวชฎาพรเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินพิพาททั้งสองแปลง นายเทาถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2521หลังจากนายเทาถึงแก่ความตาย จำเลยเป็นผู้ครอบครองทรัพย์มรดกไว้แต่ผู้เดียวโดยนางทับไม่ได้เกี่ยวข้องนางทับถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2531 หลังจากนั้นจำเลยได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายเทา และศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งแต่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดก
ที่โจทก์ทั้งสี่ฎีกาว่า คดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความนั้น คดีนี้นายเทาหรือเชาวน์ถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2521และนางทับถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2531 นับแต่วันที่นายเทาถึงแก่ความตายถึงวันที่นางทับถึงแก่ความตายเป็นเวลา10 ปีเศษ แม้จะไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่านางทับได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของนายเทาหรือไม่ อันจะฟังว่าขาดอายุความหนึ่งปีตามมาตรา 1754 วรรคแรก ก็ตาม แต่การที่นางทับมิได้ฟ้องเรียกมรดกภายในกำหนดเวลา 10 ปี นับแต่วันที่นายเทาถึงแก่ความตายก็ย่อมขาดอายุความตามมาตรา 1754 วรรคท้าย โจทก์ทั้งสี่ฟ้องคดีโดยอาศัยสิทธิของนางทับ เมื่อสิทธิของนางทับในการฟ้องเรียกมรดกขาดอายุความแล้ว คดีของโจทก์ย่อมขาดอายุความด้วย ที่โจทก์ทั้งสี่อ้างว่าคดียังไม่ขาดอายุความเพราะยังไม่พ้นเวลา 5 ปี ตามมาตรา1733 วรรคสอง นั้น เห็นว่า มาตรา 1733 วรรคสอง บัญญัติว่า”คดีเกี่ยวกับการจัดการมรดกนั้น มิให้ทายาทฟ้องเกินกว่าห้าปีนับแต่การจัดการมรดกสิ้นสุดลง” เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสี่ไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นมรดกของนายเทา จึงนำบทบัญญัติในมาตรา 1733 วรรคสอง มาใช้บังคับกับคดีนี้หาได้ไม่
พิพากษายืน

Share