คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1599/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การคิดอัตราดอกเบี้ยตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้ว แม้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะประกาศกำหนดอัตราดอกเบี้ยให้สูงหรือต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยตามคำพิพากษาดังกล่าวในภายหลัง ก็ไม่ทำให้อัตราดอกเบี้ยตามคำพิพากษานั้นมีผลเปลี่ยนแปลงไป โจทก์คิดอัตราดอกเบี้ยจากจำเลยได้ตามคำพิพากษา เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้แล้วว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวปัญหาที่ว่าจำเลยจะได้รับหนังสือทวงถามครั้งที่ 2 ของโจทก์หรือไม่จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย เพราะไม่อาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวมีผลเปลี่ยนแปลงไป ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาจำนวน116,655.23 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามไปยังจำเลย 2 ครั้ง มีระยะห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน จำเลยเพิกเฉยไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ จึงถือว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การว่า หนี้ที่โจทก์ฟ้องเป็นหนี้ที่ยังไม่แน่นอน และมีจำนวนเหลือเพียงไม่เกิน 30,000 บาท จำเลยยังไม่มีหนี้สินล้นพ้นตัวขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่จะวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยคือปัญหาแรก ที่จำเลยฎีกาว่าจำนวนหนี้ที่โจทก์ฟ้องไม่ถูกต้อง เพราะโจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ตามเอกสารหมายจ.6 เป็นการคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย และเป็นการคิดดอกเบี้ยไม่ตรงกับอัตราที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดในภายหลังนั้น เห็นว่าตามเอกสารหมาย จ.6 ปรากฏว่าโจทก์คิดดอกเบี้ยอย่างธรรมดาจากจำเลยโดยมิได้คิดดอกเบี้ยทบต้น หรือคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยดังที่จำเลยฎีกากล่าวอ้าง และอัตราดอกเบี้ยที่โจทก์คิดจากจำเลยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี ก็เป็นการคิดตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 492/2524 อันถึงที่สุดแล้ว ซึ่งแม้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะประกาศกำหนดอัตราดอกเบี้ยให้สูงหรือต่ำกว่าอัตราดังกล่าวในภายหลัง ก็ไม่ทำให้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าวมีผลเปลี่ยนแปลงไปการที่โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี จึงมิใช่เป็นการคิดที่ไม่ถูกต้องดังที่จำเลยฎีกากล่าวอ้าง จำนวนหนี้ที่โจทก์ฟ้องจึงเป็นจำนวนที่ถูกต้องแล้ว ฎีกาของจำเลยในปัญหานี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาสุดท้าย ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยไม่ได้รับหนังสือทวงถามครั้งที่ 2 ของโจทก์ จึงไม่อาจสันนิษฐานได้ว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวนั้น เห็นว่า โจทก์มีนายวิจิตร เอกบุตร เป็นพยานเบิกความสนับสนุนคำฟ้องของโจทก์ว่า ก่อนฟ้องคดีนี้ โจทก์ได้ติดตามสืบหาทรัพย์สินของจำเลย ปรากฏว่าจำเลยไม่มีทรัพย์สินที่จะชำระหนี้ให้โจทก์ได้ และจำเลยเองก็ให้การรับว่าไม่มีทรัพย์สินอะไร กับนำสืบอีกด้วยว่าจำเลยไม่มีที่ดินและบ้าน ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้แล้วว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ดังนั้น ปัญหาที่ว่า จำเลยจะได้รับหนังสือทวงถามครั้งที่ 2 ของโจทก์ดังฎีกาของจำเลยหรือไม่ จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย เพราะไม่อาจทำให้ข้อเท็จจริงที่ฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวดังกล่าวแล้วมีผลเปลี่ยนแปลงไป ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share