คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1305/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์มี ฉ. ประจักษ์พยานซึ่งเป็นภรรยาของผู้ตายเบิกความถึงเหตุการณ์ที่ผู้ตายสมัครใจทะเลาะวิวาทกับจำเลย แม้ข้อความนั้นเป็นผลร้ายต่อฝ่ายผู้ตายซึ่งเป็นสามีของตน แสดงให้เห็นว่า ฉ.เบิกความตรงไปตรงมาตามข้อเท็จจริงที่ตนรู้เห็น มิได้ปรักปรำจำเลยทั้งในชั้นสอบสวนก็ให้การเช่นนี้ ส่วนจำเลยกับพยานของจำเลยเบิกความแตกต่างกันจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังตามข้อต่อสู้ของจำเลย การที่จำเลยพูดโต้เถียงกับผู้ตายเมื่อผู้ตายพูดว่า จะใช้ขวานฟันจำเลยจำเลยก็ตอบว่า ถ้าผู้ตายใช้ขวานฟันจำเลยก็จะยิงด้วยอาวุธปืนอันเป็นทำนองท้าทายผู้ตาย แสดงว่าจำเลยสมัครใจจะทะเลาะวิวาทกับผู้ตาย การที่จำเลยยิงผู้ตายจึงไม่อาจอ้างว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 เป็นการลดมาตราส่วนโทษเฉพาะเหตุอายุของผู้กระทำความผิด แม้ว่าความผิดฐานมีอาวุธปืนจะยุติแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ตาม แต่ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,91, 33 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 และริบอาวุธปืนของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพข้อหามีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ปฏิเสธข้อหาฆ่าผู้อื่น
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา7, 72 วรรคแรก การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาให้จำคุก 18 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 12 ปี ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองให้จำคุก 1 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน รวมสองกระทงให้จำคุก 12 ปี 6 เดือนริบอาวุธปืนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกา เฉพาะความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย 1 นัด กระสุนปืนถูกผู้ตายถึงแก่ความตาย มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของนางฉวีวรรณพยานโจทก์ว่า ก่อนเกิดเหตุผู้ตายบอกให้นางละม่อมมารดาจำเลยมาช่วยตัดต้นไม้ที่ไปถูกสายไฟฟ้า นางละม่อมไม่ไปช่วยตัด และพูดว่าใครอยากตัดก็ตัดไป ผู้ตายพูดว่าทำไมพูดอย่างนั้น ขณะนั้นจำเลยกลับมาพอดีจำเลยพูดว่าใครอยากตัดก็ตัดไป ผู้ตายพูดกับจำเลยว่าอย่าพูดจองหองให้ฟังผู้ใหญ่เขาพูดกันก่อน และบอกจำเลยว่าต้นไผ่ที่ขึ้นอยู่ที่หน้าบ้านของจำเลยนั้น ช่างไฟฟ้าก็จะตัดให้หมด จำเลยพูดว่าตัดก็ตัดไปจะได้ไม่มีคนมาขอ ผู้ตายพูดว่าอย่าจองหองนัก ประเดี๋ยวจะเอาขวานฟันหัว จำเลยตอบว่าถ้าฟันก็จะยิงด้วยปืน ผู้ตายพูดว่ามึงจะเอาจริง ๆ หรือ จำเลยตอบว่าถ้าเข้ามาก็จะยิงจริง ๆ ผู้ตายถือขวานเดินเข้าไปหาจำเลย จำเลยหยิบอาวุธปืนแก๊ปยาวยิงผู้ตาย 1 นัดเห็นว่า นางฉวีวรรณเป็นประจักษ์พยานโจทก์ซึ่งจำเลยนำสืบรับว่าอยู่ในที่เกิดเหตุขณะเกิดเหตุจริง นางฉวีวรรณเบิกความถึงเหตุการณ์ก่อนเกิดเหตุโดยละเอียด แม้ข้อความนั้นเป็นผลร้ายต่อฝ่ายผู้ตายซึ่งเป็นสามีของตน เช่น ผู้ตายพูดว่าจะเอาขวานฟันหัวจำเลย หรือผู้ตายเป็นฝ่ายถือขวานเดินเข้ามาหาจำเลยก่อน แสดงให้เห็นว่านางฉวีวรรณเบิกความตรงไปตรงมาตามข้อเท็จจริงที่ตนรู้เห็นมิได้มีลักษณะปรักปรำจำเลยทั้งในชั้นสอบสวนนางฉวีวรรณก็ได้ให้การเช่นเดียวกันนี้ ปรากฏตามเอกสารหมาย ล.3 แผ่นที่ 2 คำเบิกความของนางฉวีวรรณพยานโจทก์จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ส่วนจำเลยเบิกความว่า เมื่อผู้ตายพูดว่าจะเอาขวานฟันหัว จำเลยเอาเสื้อกลับไปแขวนไว้ ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาทางด้านหลัง จำเลยหันไปเห็นผู้ตายเงื้อขวานจะฟันจำเลย จำเลยจึงหยิบอาวุธปืนแก๊ปยาวที่วางอยู่บริเวณบ้าน ผู้ตายปัดอาวุธปืน จำเลยจึงยิงผู้ตาย 1 นัด แต่นางละม่อม อาจเอื้อม มารดาจำเลยมาเบิกความเป็นพยานจำเลยว่าผู้ตายพูดว่า ไอ้ห่ากูจะฟันหัวมึง แล้วผู้ตายชูขวานขึ้นเดินเร็ว ๆเพื่อฟันจำเลย จำเลยตกใจและพูดว่า อย่าเข้ามา จำเลยเดินไปติดฝาบ้าน แล้วหยิบอาวุธปืนแก๊ปยาวออกมากระแทกถูกตัวผู้ตายและร้องว่าอย่าเข้ามา ผู้ตายใช้มือซ้ายปัดปากกระบอกปืน อาวุธปืนจึงลั่นขึ้น 1 นัด ซึ่งแตกต่างจากคำเบิกความของจำเลย ทางนำสืบของจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังตามข้อต่อสู้ของจำเลย การที่จำเลยพูดโต้เถียงกับผู้ตาย เมื่อผู้ตายพูดว่าจะใช้ขวานฟันจำเลย จำเลยก็ตอบว่า ถ้าผู้ตายใช้ขวานฟันจำเลยก็จะยิงด้วยอาวุธปืน อันเป็นทำนองท้าทายผู้ตาย แสดงว่าจำเลยสมัครใจจะทะเลาะวิวาทกับผู้ตายการที่จำเลยยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย จึงไม่สามารถอ้างว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายได้ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น แต่ศาลฎีกาเห็นว่า ขณะกระทำผิดจำเลยอายุ 18 ปี สมควรลดมาตราส่วนโทษให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ซึ่งการลดมาตราส่วนโทษตามมาตรา 76 นี้ เป็นการลดมาตราส่วนโทษเพราะเหตุอายุของผู้กระทำความผิด เมื่อศาลใช้ดุลพินิจลดมาตราส่วนโทษให้แก่จำเลยแล้วก็จำต้องลดให้ทุกกระทงความผิด แม้ว่าคดีนี้ความผิดฐานมีอาวุธปืนจะยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ตาม แต่ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเอง ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา288 อีกกระทงหนึ่ง จำเลยอายุ 18 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 แล้ว วางโทษจำคุก 10 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน สำหรับความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคแรก ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นอีกกระทงหนึ่ง ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 แล้ว วางโทษจำคุก 8 เดือน จำเลยรับสารภาพในชั้นจับกุม สอบสวน และพิจารณาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 4 เดือน รวมสองกระทงจำคุก 7 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share