คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 628/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ตามคำร้องและคำให้การรับสารภาพกระทำผิดตามฟ้องโจทก์ของจำเลยมิได้มีทนายความผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยเป็นผู้เรียง แต่จำเลยได้ลงชื่อในฐานะเป็นผู้เรียงด้วยตนเอง และในวันเดียวกันตัวจำเลยก็ได้แถลงต่อศาลชั้นต้นขอถอนคำให้การที่เคยปฏิเสธไว้เดิมขอให้การใหม่รับสารภาพผิดตามฟ้องโจทก์ซึ่งศาลชั้นต้นได้บันทึกคำให้การให้จำเลยตามความประสงค์ของจำเลย แล้วจำเลยยังได้ขอให้ศาลชั้นต้นบันทึกลงในรายงานกระบวนพิจารณาอีกว่า ข้อความใดของจำเลยเดิมที่เป็นไปในการปฏิเสธจำเลยไม่ติดใจอีกต่อไป โดยจำเลยได้ลงชื่อในฐานะจำเลยในคำให้การและในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลต่อหน้าศาลชั้นต้นแสดงว่า จำเลยมีเจตนายื่นคำร้อง ทำคำให้การรับสารภาพผิดตามฟ้องโจทก์ใหม่ต่อศาลด้วยตัวของจำเลยโดยไม่ประสงค์ให้ทนายความที่แต่งตั้งทำหน้าที่แทนให้ซึ่งย่อมกระทำได้ ฉะนั้นการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้น จึงเป็นการชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 15ประกอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 60 วรรคแรก ฟ้องโจทก์ระบุว่า ผู้เสียหายอายุ 11 ปี 10 เดือน แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าในขณะเกิดเหตุผู้เสียหายมีอายุ 14 ปี 10 เดือน 16 วันเมื่อตามฟ้องโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคแรกวรรคสองและวรรคสาม ซึ่งตามวรรคแรกได้ระบุอายุของผู้เสียหายไว้ไม่เกิน 15 ปี ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาเกี่ยวกับอายุของผู้เสียหายจึงไม่แตกต่างกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในฟ้อง อันจะเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้องได้ คำรับสารภาพของจำเลยต่อศาลเป็นเรื่องที่รับว่าได้กระทำตามฟ้องเท่านั้น ส่วนการกระทำตามฟ้องจะเป็นความผิดตามบทกฎหมายที่โจทก์ขอให้ลงโทษหรือไม่ เป็นอำนาจของศาลที่จะพิจารณา ศาลย่อมยกฟ้องโจทก์ในข้อหาที่ฟังได้ว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดได้ตามป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคแรก ประกอบมาตรา 215 และ 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371,317 วรรคแรกและวรรคสาม, 277 วรรคหนึ่ง วรรคสองและวรรคสาม,279 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 8)พ.ศ. 2530 มาตรา 3, 4, 7 และให้ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ ต่อมาหลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วจำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามฟ้องศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคสองและวรรคสาม, 279 วรรคสอง, 317 วรรคแรกและวรรคสามและ 371 เรียงกระทงลงโทษเฉพาะความผิดฐานกระทำชำเราและอนาจารเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามมาตรา 277 วรรคสามซึ่งเป็นบทหนัก ประกอบมาตรา 53 วางโทษจำคุก 50 ปี ฐานพรากผู้เยาว์จำคุก 10 ปี ฐานพาอาวุธ ปรับ 90 บาท คำรับสารภาพในชั้นจับกุมและสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ปรานีลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม ฐานกระทำชำเรา จำคุก33 ปี 4 เดือน ฐานพรากผู้เยาว์จำคุก 6 ปี 8 เดือน ฐานพาอาวุธปรับ 60 บาท รวมลงโทษจำคุก 40 ปี ปรับ 60 บาท ริบอาวุธมีดของกลาง
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องหรือลงโทษในสถานเบา
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาแรกจำเลยฎีกาว่า คำร้อง คำให้การของจำเลยที่ศาลชั้นต้นจดบันทึกขึ้นใหม่และรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นบันทึกดังกล่าวข้างต้นลงวันที่ 19 สิงหาคม 2535 นั้นมิได้มีทนายความผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยเป็นผู้เรียง จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายที่จะรับฟังว่าจำเลยรับสารภาพกระทำความผิดตามฟ้องโจทก์ได้นั้นในข้อนี้จะเห็นได้ว่าคำร้องที่จำเลยอ้างนำมายื่นต่อศาลชั้นต้นในวันดังกล่าวจำเลยได้ลงชื่อมาในฐานะเป็นจำเลยและในฐานะผู้เรียงด้วยตัวเอง และในวันเดียวกันนั้นตัวจำเลยก็ได้แถลงต่อศาลชั้นต้นขอถอนคำให้การที่เคยปฏิเสธไว้เดิมขอให้การใหม่รับสารภาพผิดตามฟ้องโจทก์ ซึ่งศาลชั้นต้นก็ได้บันทึกคำให้การให้จำเลยตามความประสงค์ของจำเลยนั้นเองแล้วจำเลยยังได้ขอให้ศาลชั้นต้นบันทึกลงในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นอีกด้วยว่าข้อความใดของจำเลยเดิมที่เป็นไปในทางปฏิเสธจำเลยไม่ติดใจอีกต่อไป โดยตัวจำเลยได้ลงชื่อในฐานะจำเลยลงในคำให้การ และในรายงานกระบวนพิจารณาของศาลต่อหน้าศาลชั้นต้นเป็นการยืนยันด้วยความสมัครใจนั้น ย่อมเป็นข้อพิสูจน์แสดงให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยว่า จำเลยมีเจตนายื่นคำร้องทำคำให้การรับสารภาพผิดตามฟ้องโจทก์ใหม่ต่อศาลด้วยตัวของจำเลยโดยไม่ประสงค์ให้ทนายความที่แต่งตั้งทำแทนให้ ซึ่งย่อมกระทำได้เพราะทนายความที่จำเลยแต่งตั้งนั้นตามกฎหมายเพียงให้เข้ามาดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลในฐานะตัวแทนของจำเลยเท่านั้น ฉะนั้นการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลดังที่จำเลยกล่าวอ้างมาข้างต้นทั้งหมดจึงเป็นการชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 60 วรรคแรกที่ศาลล่างนำมารับฟังว่าจำเลยได้ให้การรับสารภาพผิดตามฟ้องโจทก์จริงจึงเป็นการชอบแล้ว ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาต่อไปว่า ตามคำฟ้องโจทก์ผู้เสียหายอายุ 11 ปี10 เดือน แต่ทางพิจารณาผู้เสียหายอายุ 15 ปี ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงแตกต่างกับฟ้องเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้องนั้น ข้อนี้ซึ่งเมื่อได้พิจารณาสำเนาทะเบียนบ้านของผู้เสียหายตามเอกสารหมาย จ.1ปรากฏว่า ผู้เสียหายเกิดวันที่ 11 มีนาคม 2520 วันเกิดเหตุคดีนี้วันที่ 27 มกราคม 2535 จึงฟังได้ว่าในขณะเกิดเหตุผู้เสียหายมีอายุ14 ปี 10 เดือน 16 วัน ดังนั้น เมื่อตามฟ้องโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 277 วรรคหนึ่ง วรรคสองและวรรคสาม ซึ่งตามวรรคแรกได้ระบุอายุของผู้เสียหายไว้ไม่เกิน 15 ปี ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องอายุของผู้เสียหายจึงไม่แตกต่างกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในฟ้องอันจะเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้องได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยฎีกาต่อไปว่า ศาลล่างวินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคแรก ความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราตามมาตรา 277 วรรคแรก และความผิดฐานทำอนาจารตามมาตรา 279 วรรคสอง โดยศาลล่างพิพากษาความผิดฐานพรากผู้เยาว์เป็นความผิดคนละกรรมกับความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราและกระทำความผิดฐานอนาจารนั้นไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ในข้อนี้แม้จำเลยจะไม่ฎีกาในข้อหาความผิดฐานพรากผู้เยาว์มาด้วยก็ตามแต่ศาลฎีกาเห็นว่าความผิดฐานนี้สมควรหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยให้กับจำเลยว่าได้กระทำผิดด้วยหรือไม่ เพราะในคดีอาญาที่จำเลยให้การรับสารภาพนั้น คำรับสารภาพของจำเลยเป็นเรื่องที่รับว่าเป็นการกระทำตามฟ้องเท่านั้น ส่วนการกระทำตามฟ้องจะเป็นความผิดตามบทกฎหมายที่โจทก์ขอให้ลงโทษหรือไม่นั้น เป็นอำนาจของศาลที่จะพิจารณาดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185ซึ่งบทบัญญัติมาตรานี้ศาลฎีกาต้องนำมาใช้ในการพิจารณาพิพากษาด้วยตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 225 ซึ่งศาลจำต้องฟังพยานหลักฐานโจทก์จนแน่ชัดก่อน โดยข้อหานี้โจทก์มีตัวผู้เสียหายเบิกความว่าในคืนเกิดเหตุผู้เสียหายยืนรอรถจักรยานยนต์รับจ้างปากซอยเข้าบ้านผู้เสียหาย จำเลยได้ขับรถจักรยานยนต์รับจ้างเข้ามาหารับอาสาพาผู้เสียหายไปส่งบ้าน ผู้เสียหายเห็นเป็นทางเปลี่ยวจึงได้ขึ้นนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของจำเลย จำเลยขับรถเข้าซอยไปได้ประมาณ50 เมตร จำเลยจอดรถ ผู้เสียหายกลัวถูกจี้เอาทรัพย์จึงได้ลงจากรถจะเดินข้ามถนนไปอีกฟากถนน จำเลยใช้มือซ้ายจับข้อมือขวาของผู้เสียหาย แล้วใช้มีดจี้คอผู้เสียหายพร้อมพูดว่าอย่าขัดขืนแล้วผลักผู้เสียหายนอนลงข้างทาง จำเลยล้มตัวลงทับ ผู้เสียหายจะร้องแต่ถูกจำเลยใช้มืออุดปากเหวี่ยงมีดทิ้ง ข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่ 1 ครั้ง ผู้เสียหายได้ผลักจำเลยออกจากตัวรีบลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าจึงกลับบ้านทันทีนั้น จะเห็นได้ว่า ถ้าจำเลยมีเจตนาพรากผู้เสียหายจากผู้ปกครองจริง ในขณะที่ผู้เสียหายลุกขึ้นใส่เสื้อผ้า จำเลยย่อมมีโอกาสหน่วงเหนี่ยวกักตัวผู้เสียหายต่อคงไม่ปล่อยให้ผู้เสียหายกลับบ้านโดยไม่ขัดขวางแต่ประการใดเลยนั้นย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยเพียงมีเจตนาเพื่อที่จะข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายแต่เพียงอย่างเดียวยิ่งถ้าได้พิจารณาถึงสถานที่จำเลยใช้ข่มขืนกระทำชำเราก็อยู่ในซอยทางเข้าบ้านผู้ปกครองที่ผู้เสียหายอยู่อาศัยและไม่ไกลจากที่เกิดเหตุประกอบด้วยแล้วย่อมยิ่งสนับสนุนทำให้เห็นเจตนาของจำเลยว่าจำเลยมิได้มีเจตนาพรากผู้เสียหายไปจากผู้ปกครองแต่ประการใด ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย จึงเห็นสมควรยกฟ้องโจทก์ ในข้อหาดังกล่าวนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคแรก ประกอบมาตรา 215 และ 225 ดังนั้นในข้อที่จำเลยฎีกามาขอให้ศาลฎีกาพิพากษาแก้ลงโทษจำเลยฐานความผิดพรากผู้เยาว์ตามมาตรา 317 วรรคแรกเป็นความผิดกรรมเดียวกับความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราตามมาตรา277 วรรคแรกและฐานอนาจารมาตรา 279 วรรคสอง ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 นั้น จึงไม่จำต้องวินิจฉัยต่อไป…”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาพรากผู้เยาว์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคแรก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ส่วนค่าปรับถ้าไม่ชำระให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30

Share