แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้จำเลยถูกจับในท้องที่อำเภอสระแก้ว จังหวัดปราจีนบุรีในข้อหาพยายามฆ่าและต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ปลอมแปลงเอกสารและใช้เอกสารปลอมกับข้อหาอื่นๆซึ่งมิใช่ข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจรตามที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ศาลจังหวัดกบินทร์บุรีได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยจำเลยถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำอำเภอกบินทร์บุรี แต่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา22คำว่าจำเลยถูกจับในท้องที่หนึ่งหมายถึงเจ้าพนักงานจับจำเลยจริงๆในเขตศาลนั้นตามที่ถูกกล่าวหาเมื่อจำเลยถูกจับในความผิดฐานอื่นและเจ้าพนักงานตำรวจได้อายัดตัวจำเลยมาสอบสวนในคดีนี้ถือไม่ได้ว่าคดีนี้จำเลยถูกจับในเขตอำนาจศาลจังหวัดกบินทร์บุรีโจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดกบินทร์บุรีไม่ได้ เรือนจำอำเภอกบินทร์บุรีซึ่งจำเลยต้องโทษจำคุกอยู่ในคดีอื่นในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยในคดีนี้คดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างอุทธรณ์เรือนจำจึงมิใช่ท้องที่ที่จำเลยมีที่อยู่เพราะคดีดังกล่าวจำเลยมิได้ถูกจำคุกตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา47ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ1แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่พ.ศ.2535จึงไม่อาจถือว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่เรือนจำอำเภอกบินทร์บุรีอีกด้วยโจทก์จึงฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดกบินทร์บุรีไม่ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 135(1)(3)(8), 357, 22 ซึ่งเหตุเกิดที่ตำบลสระพระอำเภอโนนไทย จังหวัดนครราชสีมา โจทก์ยื่นคำร้องขออนุญาตฟ้องคดีต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า จำเลยไม่มีที่อยู่หรือถูกจับในคดีที่ฟ้องในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น ยังไม่มีเหตุสมควรจะรับฟ้อง ให้ยกคำร้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามคำบรรยายฟ้องและคำร้องขออนุญาตฟ้องคดีของโจทก์ ปรากฎว่าในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ เจ้าพนักงานตำรวจได้จับจำเลยในท้องที่อำเภอสระแก้ว จังหวัดปราจีนบุรีในข้อหาพยายามฆ่าและต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ปลอมแปลง เอกสารและใช้เอกสารปลอมกับข้อหาอื่น ๆ ซึ่งมิใช่ข้อหาลักษณะหรือรับของโจรตามที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ เมื่อจำเลยถูกฟ้อง ศาลจังหวัดกบินทร์บุรีได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 27 ปี9 เดือน ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2646/2537 จำเลยถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำอำเภอกบินทร์บุรี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 22 บัญญัติว่าเมื่อความผิดเกิดขึ้น อ้างหรือว่าได้เกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลใด ให้ชำระที่ศาลนั้นแต่ถ้า (1) เมื่อจำเลยมีที่อยู่ หรือถูกจับในท้องที่หนึ่ง ฯลฯ จะชำระที่ศาลซึ่งท้องที่นั้น ๆ อยู่ในเขตอำนาจก็ได้ คำว่า จำเลยถูกจับในท้องที่หนึ่งหมายถึงเจ้าพนักงานจับจำเลยจริง ๆ ในเขตศาลนั้นตามที่ถูกกล่าวหาแต่ตามบันทึกการจับกุมจำเลยกับคำร้องขออนุญาตฟ้องคดีของโจทก์ปรากฎว่าจำเลยถูกจับในความผิดฐานพยายามฆ่าและต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่และความผิดฐานอื่น ๆ ซึ่งมิใช่ความผิดตามที่ถูกกล่าวหาในคดีนี้ เจ้าพนักงานตำรวจคงจะขยายผลการกระทำผิดของจำเลยจึงได้อายัดตัวจำเลยมาสอบสวนในคดีนี้ กรณีถือไม่ได้ว่าคดีนี้จำเลยถูกจับในเขตอำนาจศาลจังหวัดกบินทร์บุรีส่วนเรือนจำอำเภอกบินทร์บุรีซึ่งจำเลยต้องโทษจำคุกอยู่ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2646/2537 ในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยในคดีนี้ปรากฎว่าคดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างอุทธรณ์ เรือนจำจึงหาใช่ท้องที่ที่จำเลยมีที่อยู่ไม่เพราะคดีดังกล่าวจำเลยมิได้ถูกจำคุกตามคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 47 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 1 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ตรวจชำระใหม่พ.ศ. 2535 และบทบัญญัติดังกล่าวมีผลใช้บังคับก่อนที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ ดังนั้น จึงไม่อาจถือว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่เรือนจำอำเภอกบินทร์บุรีอีกด้วย คำพิพากษาฎีกาที่ 3103/2536ระหว่างพนักงานอัยการประจำศาลจังหวัดสีคิ้ว โจทก์ นายจันทร์ไทยนอก กับพวก จำเลย ที่โจทก์อ้างข้อเท็จจริงไม่ตรงกับคดีนี้โจทก์จะอาศัยความสะดวกในการดำเนินคดีแก่จำเลยโดยมิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้ ในเรื่องเขตอำนาจศาลมาฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดกบินทร์บุรีหาชอบไม่ ศาลจังหวัดกบินทร์บุรีจึงไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้
พิพากษายืน