คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 241/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยนำสืบว่าได้กู้เงินโจทก์ โจทก์ให้จำเลยลงลายพิมพ์นิ้วมือในกระดาษซึ่งไม่ทราบว่าเป็นกระดาษอะไร ภายหลังทราบว่าจำเลยถูกหลอกให้ลงชื่อในสัญญาซื้อขายที่พิพาท หาใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร แต่เป็นการนำสืบหักล้างว่าสัญญาซื้อขายไม่ถูกต้องสมบูรณ์ทั้งหมด ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2528จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นภรรยาสามีกันได้ขายที่ดินนา 1 แปลง ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.) ทะเบียนเลขที่ 1717 ตั้งอยู่ตำบลสองห้อง อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ เนื้อที่ 4ไร่ 3 งาน 93 ตารางวา ให้แก่โจทก์ในราคา 13,000 บาท จำเลยทั้งสองได้มอบอำนาจให้โจทก์ไปจดทะเบียนโอนที่ดินเป็นของโจทก์แต่ปรากฏว่าใบมอบอำนาจไม่สมบูรณ์จึงโอนไม่ได้ โจทก์จึงให้จำเลยทั้งสองไปดำเนินการจดทะเบียนโอนให้แต่จำเลยไม่ไปและไม่ยอมให้โจทก์เข้าครอบครองที่นาดังกล่าว ซึ่งขายให้โจทก์แล้ว ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนโอนขายที่พิพาทแก่โจทก์ภายใน 7 วันนับแต่วันที่ศาลพิพากษา หากจำเลยทั้งสองไม่ไปก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง ถ้าจำเลยไม่สามารถไปจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้ได้ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 13,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอพิจารณาใหม่ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ศาลชั้นต้นทำการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสองแล้วดำเนินการพิจารณาพิพากษาตามรูปคดี
จำเลยให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยขายที่ดินตามฟ้องให้โจทก์ทั้งไม่เคยรับเงินจำนวน 13,000 บาทจากโจทก์ สัญญาซื้อขายและหนังสือมอบอำนาจเอกสารท้ายฟ้องเป็นเอกสารปลอม กล่าวคือเมื่อปี 2528 จำเลยกู้เงินโจทก์ โจทก์ได้นำกระดาษแบบพิมพ์ที่ยังไม่ได้กรอกข้อความให้จำเลยทั้งสองพิมพ์ลายมือไว้หลายฉบับอ้างว่าเป็นสัญญากู้เงิน จำเลยทั้งสองอ่านหนังสือไม่ออกหลงเชื่อจึงพิมพ์ลายมือไว้ ต่อมาโจทก์นำกระดาษแบบพิมพ์ดังกล่าวไปกรอกข้อความเอาเองโดยจำเลยไม่รู้เห็น จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดเพราะเงินที่ยืมไปก็ใช้คืนหมดแล้วแต่โจทก์ไม่คืน น.ส.3ก. ให้จำเลยอ้างว่าหาไม่พบ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3ก.) ทะเบียนเลขที่ 1717เล่ม 18 ก. หน้า 17 เลขที่ดิน 80 ตั้งอยู่ตำบลสองห้อง อำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ให้แก่โจทก์ ณ สำนักงานที่ดินอำเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ หากจำเลยทั้งสองไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรกซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534มาตรา 18 ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยทั้งสองทำสัญญาขายที่พิพาทให้โจทก์ไม่ใช่เป็นเรื่องจำเลยทั้งสองกู้เงินไปจากโจทก์ เป็นการโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่โจทก์ฎีกาเป็นข้อกฎหมายว่า จำเลยทั้งสองนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญาซื้อขายที่พิพาทตามเอกสารหมาย จ.2 ว่าเป็นสัญญากู้เงินไม่ได้นั้นเห็นว่า การที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่าไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายที่พิพาทตามเอกสารหมาย จ.2 แต่ที่จำเลยทั้งสองลงลายพิมพ์นิ้วมือในเอกสารหมาย จ.2 เพราะไปกู้เงินโจทก์แล้วโจทก์ให้ลงลายพิมพ์นิ้วมือในกระดาษซึ่งไม่ทราบว่าเป็นกระดาษอะไร การนำสืบของจำเลยทั้งสองดังกล่าวเพื่อแสดงว่าถูกโจทก์หลอกลวงให้ลงชื่อในเอกสารและเอกสารนั้นใช้บังคับไม่ได้มิใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารหากแต่เป็นการนำสืบหักล้างสัญญาซื้อขายที่พิพาทว่าไม่ถูกต้องสมบูรณ์ทั้งหมด จำเลยทั้งสองจึงนำสืบได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94”
พิพากษายืน

Share