แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คำว่า “ทำไม้” ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4(4)หมายความว่า ตัด ฟัน กานโค่นลิดเลื่อยผ่าถาก ทอน ขุดชักลากไม้ในป่า หรือนำไม้ออกจากป่าด้วยประการใด ๆ แต่เมื่อพระราชบัญญัติ ป่าไม้ฯ มิได้ให้ความหมายพิเศษของคำเหล่านี้ไว้จึงต้องถือตามความหมายทั่วไปของคำเหล่านั้น ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ซึ่งให้ความหมายของคำว่า “ตัด”ว่าทำให้ขาดด้วยของมีคม คำว่า “ฟัน” หมายถึง เอาของมีคมฟันลงไปคำว่า “กาน” หมายถึง ตัดเพื่อให้แตกใหม่ คำว่า “โค่น” หมายถึงล้มหรือทำให้ล้ม คำว่า “ลิด”หมายถึงเด็ดหรือตัดเพื่อแต่งคำว่า “เลื่อย” หมายถึงตัดด้วยเลื่อย จึงเห็นได้ว่าคำว่า”ทำไม้” ไม่ว่าด้วยวิธีตัด ฟัน กานโค่นลิดเลื่อยผ่าถากทอน ขุด ชักลาก หรือนำไม้ออกจากป่า ล้วนแต่เป็นการทำให้ต้นไม้ขาดจากลำต้นหรือจากพื้นดินที่ต้นไม้นั้นปลูกอยู่ทั้งสิ้นประกอบกับวัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ ที่ห้ามมิให้ทำไม้โดยมิได้รับอนุญาตก็เพื่อมิให้มีการทำลายป่าและเพื่อรักษาทรัพยากรและความสมดุล ทาง ธรรมชาติไว้ ฉะนั้นเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าต้นยางที่จำเลยตัดมีขนาดเส้นรอบวงของลำต้นตรงที่ถูกตัดถึง 1.80 เมตร และสูง 16 เมตร มีร่องรอยการตัดด้วยเลื่อยเพียง 2 รอย ลึกเพียง 1 นิ้ว และยาว 5 นิ้วเท่านั้นและต้นยางดังกล่าว มิได้โค่นล้มหรือตายแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยกับพวกจึงเป็นเพียงการลงมือกระทำความผิดฐานทำไม้แต่กระทำไปไม่ตลอด เป็นความผิดฐานพยายามทำไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตมิใช่ความผิดสำเร็จพระราชบัญญัติ ญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิดฯ มาตรา 8ให้จ่ายเงินรางวัลร้อยละยี่สิบห้าของราคาของกลางที่ศาลสั่งริบไม่ใช่ร้อยละสิบห้าตามประกาศที่ลงในราชกิจจานุเบกษาซึ่งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรขอแก้ไข เพราะประกาศดังกล่าวไม่อาจแก้บทกฎหมายที่ตราไว้แล้วได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกที่หลบหนีได้นำเลื่อยโซ่ยนต์ยี่ห้อสติล 2 เครื่องที่ใช้แล้วราคาเครื่องละ 5,100 บาทเข้ามาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากรและโดยเจตนาฉ้อค่าภาษีอากรขาเข้าและในวันดังกล่าวจำเลยกับพวกที่หลบหนีดังกล่าวร่วมกันทำไม้ โดยการตัด ฟันไม้ยาง 1 ต้นซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469มาตรา 27, 27 ทวิ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507มาตรา 14, 31, 35 พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4, 11,48, 73, 74, 74 จัตวา พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 4, 5, 6, 7, 8, 9 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91 กับให้ริบเลื่อยโซ่ยนต์ 2 เครื่อง ของกลาง และจ่ายสินบนนำจับและรางวัลแก่ผู้จับด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484มาตรา 4, 11, 73 และ 74 จัตวา (ที่ถูกเป็นมาตรา 73 วรรคสอง(1)และ 74 จัตวา) พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 4, 5(2), 6, 7, 8 และ 9 เรียงกระทงลงโทษ ฐานรับไว้ซึ่งของอันตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร ข้อห้าม หรือข้อจำกัด ปรับ 53,040 บาทฐานทำไม้ จำคุก 1 ปี และปรับ 10,000 บาท รวมจำคุก 1 ปี และปรับ63,040 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยกระทำความผิดมาก่อน เห็นสมควรรอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับ ให้กักขังแทนไม่เกินสองปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบเลื่อยโซ่ยนต์ของกลางกับให้จ่ายสินบนร้อยละสามสิบ จ่ายรางวัลร้อยละสิบห้าของค่าปรับตามพระราชบัญญัติศุลกากร และให้จ่ายสินบนนำจับกึ่งหนึ่งของค่าปรับตามพระราชบัญญัติป่าไม้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับเป็นข้อกฎหมายเพียงประการเดียวว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดสำเร็จฐานทำไม้หรือไม่ ซึ่งปัญหาดังกล่าวจำเลยฎีกาว่าต้นยางที่เกิดเหตุมีเพียงร่องรอยการใช้เลื่อยตัดต้นยาง โดยมีรอยตัด 2 รอย แต่ละรอยลึกประมาณ 1 นิ้ว ยาวประมาณ 5 นิ้วการกระทำของจำเลยจึงยังไม่เป็นความผิดสำเร็จฐานทำไม้ ปัญหานี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ต้นไม้ที่ถูกเลื่อยยนต์ตัดเป็นไม้ยางปรากฏร่องรอยของการใช้เลื่อยตัดที่โคนลำต้นสูงจากพื้นประมาณ1.30 เมตร 2 รอย แต่ละรอยลึกประมาณ 1 นิ้ว ยาวประมาณ 5 นิ้วไม้ยางยังไม่ถูกโค่นลงมา ต้นยางที่ถูกตัดมีขนาดเส้นรอบวงของลำต้นตรงที่ถูกตัด 1.80 เมตร และสูง 16 เมตร เห็นว่าพระราชบัญญัติ ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4(5) บัญญัติว่า “ทำไม้”หมายความว่า ตัด ฟัน กาน โค่น ลิด เลื่อย ผ่า ถาก ทอน ขุดชักลากไม้ในป่า หรือนำไม้ออกจากป่าด้วยประการใด ๆ …” ซึ่งโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยกับพวกร่วมกันทำไม้โดยการตัด ฟันพระราชบัญญัติ ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มิได้ให้ความหมายพิเศษของคำว่าตัด ฟัน และการกระทำอื่น ๆ อันเป็นการทำไม้ไว้ จึงต้องถือตามความหมายทั่วไปของคำเหล่านั้น ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถานพ.ศ. 2525 ได้ให้ความหมายของคำว่า “ตัด” ว่า ทำให้ขาดด้วยของมีคม ทอน คำว่า “ฟัน” หมายถึงเอาของมีคมเช่นดาบฟันลงไปเช่น ฟันคลื่น คือเอาหัวเรือตัดคลื่นไป “กาน” หมายถึงตัดเพื่อให้แตกใหม่ “โค่น” หมายถึง ล้มหรือทำให้ล้มอย่างต้นไม้ล้มทลายลง “ลิด” หมายถึง เด็ดหรือตัดเพื่อแต่ง “เลื่อย” หมายถึงตัดด้วยเลื่อย ความหมายของคำว่า “ทำไม้” ไม่ว่าด้วยวิธีตัดฟัน กาน โค่น ลิด เลื่อย ผ่า ถาก ทอน ขุด ชักลาก หรือ นำไม้ออกจากป่า ล้วนแต่ทำให้เห็นว่าต้องเป็นการทำให้ต้นไม้ขาดจากลำต้นหรือจากพื้นดินที่ต้นไม้นั้นปลูกอยู่ทั้งสิ้น ซึ่งวัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 ที่ห้ามมิให้ทำไม้โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่และถือเป็นความผิดดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 11 และ 73 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวนั้นก็เพื่อมิให้มีการทำลายป่าและเพื่อรักษาทรัพยากรและความสมดุล ทางธรรมชาติไว้ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าต้นยางที่จำเลยตัดมีขนาดเส้นรอบวงของลำต้นตรงที่ถูกตัดถึง 1.80 เมตร และสูง 16 เมตร มีร่องรอยการตัดด้วยเลื่อยเพียง 2 รอย ลึกเพียง 1 นิ้ว และยาว 5 นิ้วเท่านั้นต้นยางดังกล่าวมิได้โค่นล้มหรือตายแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยกับพวกจึงเป็นเพียงการลงมือกระทำความผิดฐานทำไม้แต่กระทำไปไม่ตลอด เป็นความผิดฐานพยายามทำไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ มิใช่ความผิดสำเร็จ ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า ให้จ่ายสินบนร้อยละสามสิบ จ่ายรางวัลร้อยละสิบห้าของค่าปรับตามพระราชบัญญัติศุลกากรนั้น ปรากฏว่าพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ. 2469 ไม่มีบทบัญญัติให้จ่ายสินบนกับรางวัล และปรากฏตามพระราชบัญญัติ ให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489มาตรา 7 และ 8 ว่า สินบนและรางวัลให้จ่ายจากเงินที่ได้จากการขายของกลางซึ่งศาลสั่งริบเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว หากของกลางที่ศาลสั่งริบนั้นไม่อาจขายได้ ให้จ่ายจากเงินค่าปรับที่ได้ชำระต่อศาลซึ่งคดีนี้ไม่ปรากฏว่าไม่อาจขายของกลางได้ ทั้งให้จ่ายรางวัลร้อยละยี่สิบห้าของราคาของกลางที่ศาลสั่งริบ ไม่ใช่ร้อยละสิบห้าตามประกาศที่ลงในราชกิจจานุเบกษาซึ่งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฏรขอแก้ไข เพราะประกาศดังกล่าวไม่สามารถจะแก้บทกฎหมายที่ตราไว้แล้ว ประกอบกับตามฟ้องโจทก์ก็มิได้ขอให้ศาลสั่งจ่ายรางวัลเพียงร้อยละสิบห้า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษามาจึงยังไม่ถูกต้องตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 4(5), 11, 73 วรรคสอง (1) ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80 จำคุก 8 เดือน และปรับ 6,000 บาท เมื่อรวมกับโทษตามพระราชบัญญัติ ศุลกากรตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ที่ให้ปรับ53,040 บาท แล้ว คงจำคุก 8 เดือน และปรับ 59,040 บาท ให้จ่ายสินบนร้อยละสามสิบและจ่ายรางวัลร้อยละยี่สิบห้าของราคาของกลางที่ศาลสั่งริบตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 7 และ 8 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1