คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4071/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

อุทธรณ์ของโจทก์เป็นการโต้เถียงว่าศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจใช้ดุลพินิจลดดอกเบี้ยจากอัตราร้อยละ19ต่อปีลงเป็นร้อยละ15ต่อปีเนื่องจากดอกเบี้ยเป็นข้อตกลงที่กำหนดไว้ในสัญญากู้เงินมิใช่เป็นเบี้ยปรับซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายโจทก์จึงขออนุญาตยื่นอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาได้ชอบที่ศาลชั้นต้นจะสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์แล้วดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา223ทวิต่อไป

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินตามสัญญากู้ยืมจำนวน 818,451.86 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 646,979.81 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองต้องรับผิดชำระต้นเงินกู้จำนวน 646,979.81 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามอัตราปรับเปลี่ยนตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศธนาคารโจทก์ คำนวณถึงวันฟ้องเป็นเงิน 171,472.05 บาท รวมเป็นเงิน 818,451.86 บาทสำหรับดอกเบี้ยที่โจทก์ขอในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จนั้นเห็นว่า อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวมีการปรับเปลี่ยนขึ้นลงเป็นช่วง ๆ ตามภาวะเศรษฐกิจและตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย ดังนั้น หากจำเลยทั้งสองต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี คงที่ตลอดไปจนกว่าจะชำระเสร็จนั้น ย่อมทำให้จำเลยทั้งสองรับภาระดอกเบี้ยสูงเกินควร จึงเห็นควรให้จำเลยทั้งสองรับผิดชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 818,451.86 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ15 ต่อปี ในต้นเงิน 646,979.81 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 2070 ตำบลหนองค้างพลู อำเภอหนองแขม กรุงเทพมหานครพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบคำขอยื่นให้ยก
โจทก์ยื่นคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องแล้วมีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นการโต้แย้งดุลพินิจของศาลในการลดดอกเบี้ยต่ำกว่าคำฟ้องจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ จึงให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามอุทธรณ์ของโจทก์เป็นการโต้เถียงว่าศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจใช้ดุลพินิจลดดอกเบี้ยจากอัตราร้อยละ 19 ต่อปีลงเป็นร้อยละ 15 ต่อปี เนื่องจากดอกเบี้ยเป็นข้อตกลงที่กำหนดไว้ในสัญญากู้เงิน หาใช่เป็นเบี้ยปรับแต่อย่างใดไม่ ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย โจทก์ขออนุญาตยื่นอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาได้
พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ของโจทก์แล้วดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ ต่อไป

Share