คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3799/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ว่าตามรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยจะได้ความว่าก่อนกระทำความผิดคดีนี้จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลว่าจำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและพยายามฆ่าให้จำคุก13ปี4เดือนนับตั้งแต่วันที่9มิถุนายน2530ก็ตามแต่จำเลยก็ได้รับโทษและพ้นโทษมาแล้วเมื่อวันที่12สิงหาคม2535จำเลยย่อมได้รับประโยชน์ตามมาตรา4แห่งพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองสิริราชสมบัติครบ50ปีพ.ศ.2539ที่บัญญัติให้ถือว่าจำเลยมิได้เคยถูกลงโทษในกรณีความผิดที่ได้กระทำก่อนหรือในวันที่9มิถุนายน2539และพ้นโทษไปแล้วก่อนหรือในวันที่พระราชบัญญัติล้างมลทินฉบับนี้ใช้บังคับโดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกลงโทษในกรณีความผิดนั้นๆดังนั้นกรณีจึงต้องถือว่าจำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา56ที่ศาลจะพิจารณารอการลงโทษให้แก่จำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8ทวิ, 72, 72ทวิ ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91, 371
จำเลย ให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคสาม,8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371ฐานมีอาวุธปืน จำคุก 8 เดือน และฐานพาอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่น และเครื่องกระสุนปืน จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 14 เดือนลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก7 เดือน จำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จึงไม่มีเหตุรอการลงโทษ
จำเลยอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษนั้น แม้ว่าตามรายงานการสืบเสาะและพินิจจำเลยจะได้ความว่า ก่อนกระทำความผิดคดีนี้จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลอาญาในคดีหมายเลขแดงที่ 9342/2528 ว่า จำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและพยายามฆ่า ให้จำคุก 13 ปี 4 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2530 ก็ตาม แต่จำเลยก็ได้รับโทษและพ้นโทษมาแล้วเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2535 จำเลยย่อมได้รับประโยชน์ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี พ.ศ. 2539 ที่บัญญัติให้ถือว่าจำเลยมิได้เคยถูกลงโทษในกรณีความผิดที่ได้กระทำก่อนหรือในวันที่ 9 มิถุนายน 2539 และพ้นโทษไปแล้วก่อนหรือในวันที่พระราชบัญญัติล้างมลทินฉบับนี้ใช้บังคับ โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกลงโทษในกรณีความผิดนั้น ๆดังนั้น กรณีของจำเลยนี้จึงต้องถือว่าจำเลยไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56ที่ศาลจะพิจารณารอการลงโทษให้แก่จำเลยได้ และวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่ามีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษจำเลยไว้ แต่เพื่อให้จำเลยหลาบจำและเพื่อป้องปรามมิให้จำเลยหวนกลับไปกระทำความผิดซ้ำอีกจึงให้ลงโทษปรับจำเลยในความผิดทั้งสองข้อหาอีกสถานหนึ่ง และคุมความประพฤติจำเลยไว้ด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานมีอาวุธปืน ให้ลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่ง เป็นเงิน 6,000 บาท และความผิดฐานพาอาวุธปืนให้ลงโทษปรับอีกสถานหนึ่ง เป็นเงิน 4,000 บาท รวมปรับ 10,000 บาทจำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงปรับ 5,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 เดือนต่อหนึ่งครั้งตลอดระยะเวลาที่ศาลรอการลงโทษไว้นั้นกับให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยเห็นสมควรมีกำหนด 30 ชั่วโมง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share