แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ข้อหาที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองว่าร่วมกันใช้เรือบรรทุกน้ำมันดีเซลซึ่งผลิตในต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากรและเจตนาฉ้อค่าภาษีของรัฐบาลที่จะต้องเสียภาษีอากรขาเข้าสำหรับของดังกล่าวโดยขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ.2469และพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิดพ.ศ.2489นั้นเป็นความผิดเกี่ยวกับรัฐและรัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหายส่วนผู้ร้องเป็นเจ้าพนักงานผู้จับและมีสิทธิเพียงได้รับเงินรางวัลตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปราบผู้กระทำความผิดฯมาตรา6,7,8,และ9ผู้จับมิใช่บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดตามฟ้องผู้ร้องจึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา2(4)แม้ผู้ร้องจะอ้างว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดีเพราะหากโจทก์ชนะคดีผู้ร้องจะได้รับเงินบำเหน็จรางวัลทั้งการที่ผู้ร้องจับจำเลยทั้งสามเป็นเหตุให้ผู้ร้องถูกเจ้าของเรือของกลางซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยทั้งสามฟ้องทั้งคดีแพ่งและคดีอาญาก็ตามแต่ปัญหาเรื่องการขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีอาญานั้นได้มีบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา30และ31เฉพาะกรณีที่ผู้เสียหายขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการหรือพนักงานอัยการขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับผู้เสียหายในคดีที่มิใช่ความผิดต่อส่วนตัวเท่านั้นนอกเหนือจากสองกรณีนี้แล้วการขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ไม่อาจจะมีได้ดังนั้นเมื่อพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องคดีแล้วผู้ร้องซึ่งมิใช่ผู้เสียหายจะร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมจึงไม่อาจจะกระทำได้จะอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา57(1)(2)ซึ่งบัญญัติให้สิทธิบุคคลภายนอกในกรณีร้องสอดขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา15มาอนุโลมบังคับใช้ในกรณีนี้ก็ไม่ได้เช่นกันเพราะอำนาจฟ้องดังกล่าวได้มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นกรณีพิเศษโดยเฉพาะแล้ว
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากคดีสองสำนวนนี้กับสำนวนคดีอาญาหมายเลขดำที่ 775/2536 ของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาเข้าด้วยกันโดยให้เรียกจำเลยในสำนวนคดีอาญาหมายเลขดำที่ 775/2536 เป็นจำเลยที่ 1 และจำเลยทั้งสองสำนวนนี้เป็นจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตามลำดับ ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 1ถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีหมายเลขดำที่775/2536 ของศาลชั้นต้นออกจากสารบบความ คดีทั้งสองสำนวนโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27, 32และพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิดพ.ศ. 2489 มาตรา 4, 5, 6, 7, 8, 9 ริบของกลางกับจ่ายเงินสินบนแก่ผู้นำจับและจ่ายเงินรางวัลแก่เจ้าพนักงานผู้จับตามกฎหมาย
ระหว่างการพิจารณา พันตำรวจโทยงยศ เทียมประชา ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีทั้งสองสำนวนนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เรือบรรทุกน้ำมันดีเซล ซึ่งผลิตในต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากรและโดยเจตนาฉ้อค่าภาษีของรัฐที่จะต้องเสียภาษีอากรขาเข้าสำหรับของดังกล่าวขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 และพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 เห็นว่าการกระทำผิดดังกล่าวเป็นความผิดเกี่ยวกับรัฐ และรัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย ส่วนผู้ร้องเป็นเจ้าพนักงานผู้จับและมีสิทธิเพียงได้รับเงินรางวัล ตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 6, 7, 8 และ 9 ผู้จับมิใช่บุคคลผู้ได้รับความเสียหาย เนื่องจากการกระทำผิดตามฟ้อง ผู้ร้องจึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4)ที่ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดี หากโจทก์ชนะคดีผู้ร้องจะได้รับเงินบำเหน็จรางวัลตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด หากโจทก์แพ้คดีผู้ร้องจะไม่ได้รับบำเหน็จรางวัลก็ดี การที่ผู้ร้องจับจำเลยทั้งสามเป็นเหตุให้ผู้ร้องถูกเจ้าของเรือของกลางซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยทั้งสามฟ้องทั้งคดีแพ่งและคดีอาญาก็ดี ผู้ร้องจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียในผลของคดีนี้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) และ (2) นั้นเห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจะได้ความตามที่ผู้ร้องอ้างในฎีกา แต่ปัญหาเรื่องการขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีอาญานั้นได้มีบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 30 และ 31 เฉพาะกรณีที่ผู้เสียหายขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานหรือพนักงานอัยการขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับผู้เสียหายในคดีที่มิใช่ความผิดต่อส่วนตัวเท่านั้นนอกเหนือจากสองกรณีนี้แล้ว การขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ไม่อาจจะมีได้ ดังนั้น เมื่อพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องคดีแล้ว ผู้ร้องซึ่งมิใช่ผู้เสียหายจะร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม จึงไม่อาจกระทำได้และจะอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1)(2) ซึ่งบัญญัติให้สิทธิบุคคลภายนอกในกรณีร้องสอดขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ประกอบกับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15มาอนุโลมบังคับใช้ในกรณีนี้ก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะอำนาจฟ้องดังกล่าวถือว่ากฎหมายได้บัญญัติไว้เป็นกรณีพิเศษโดยเฉพาะแล้วผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิที่จะร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการซึ่งเป็นโจทก์เดิมได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน