คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2995/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา224วรรคสองที่บัญญัติยกเว้นให้มีสิทธิที่จะอุทธรณ์ได้ไว้ว่า”บทบัญญัติในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับในคดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคลหรือสิทธิในครอบครอง” นั้น มีความหมายว่าถ้าเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิแห่งสภาพบุคคลหรือสิทธิในครอบครัวแล้วมีสิทธิที่จะอุทธรณ์ได้เท่านั้นแต่หาได้มีความหมายไปถึงว่าคดีเกี่ยวกับสิทธิสภาพบุคคลและสิทธิในครอบครัวดังกล่าวเป็นคดีที่ไม่มีทุนทรัพย์เสมอไปไม่ โจทก์ฟ้องหย่าและเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูค่าทดแทนและค่าเลี้ยงชีพอันเป็นการฟ้องตั้งสิทธิอันเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์หรือความเกี่ยวข้องในครอบครัวระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งเป็นสามีภริยากันจึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในครอบครัวซึ่งมีสิทธิที่จะอุทธรณ์ฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา224วรรคสองและ248วรรคสองแต่การที่โจทก์เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูมาจำนวน180,000บาทและเรียกค่าทดแทนมาจำนวน200,000บาทรวม380,000บาทอันเป็นการฟ้องเรียกร้องทรัพย์สินมีค่าเป็นจำนวนเงินเข้ามาด้วยกรณีสีจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ซึ่งโจทก์จำต้องจำต้องชำระค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลเฉพาะเกี่ยวกับค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าทดแทนที่โจทก์มีหน้าที่จะต้องชำระตามกฎหมายเท่านั้นเมื่อโจทก์ไม่ชำระจึงเป็นการทิ้งฟ้องเฉพาะในส่วนข้อกำหนดตามที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไว้เท่านั้นคำฟ้องเฉพาะเรื่องขอหย่าเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ไม่จำต้องชำระค่าขึ้นศาลส่วนคำฟ้องเกี่ยวกับคำขอค่าเลี้ยงชีพเป็นคำฟ้องเรียกค่าเสียหายในอนาคตซึ่งโจทก์ได้ชำระค่าขึ้นศาลในอนาคตไว้ถูกต้องแล้วเมื่อฟ้องของโจทก์ในสองส่วนนี้ซึ่งเป็นฟ้องที่สมบูรณ์และชอบด้วยกฎหมายอยู่และแยกเป็นคนละส่วนจากคำฟ้องที่โจทก์ทิ้งฟ้องได้เช่นนี้จึงไม่มีเหตุที่จะถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องในสองส่วนนี้ด้วย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาให้โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน ให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์เป็นเงิน 180,000 บาท และค่าทดแทนอีก 200,000 บาทรวมเป็นเงิน 380,000 บาท และให้จำเลยจ่ายค่าเลี้ยงชีพให้โจทก์เดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้ว มีคำสั่งให้โจทก์นำค่าขึ้นศาลในส่วนที่เกี่ยวกับค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าทดแทนที่โจทก์ขอเป็นจำนวนเงิน 380,000 บาท มาชำระให้ครบภายใน 7 วัน นับแต่วันที่มีคำสั่ง แล้วจึงค่อยพิจารณาสั่งต่อไป มิฉะนั้นให้ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง แต่โจทก์ไม่นำค่าขึ้นศาลมาชำระภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ โดยให้ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับคำขอท้ายฟ้องข้อ 1 และข้อ 3 ของโจทก์ไว้พิจารณา ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ปัญหาว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะที่สั่งไม่รับฟ้องโจทก์ตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 2 เรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าทดแทนชอบหรือไม่ เห็นว่าตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 วรรคสอง ที่บัญญัติยกเว้นให้มีสิทธิที่จะอุทธรณ์ได้ไว้ว่า “บทบัญญัติในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับในคดีเกี่ยวด้วยสิทธิแห่งสภาพบุคคลหรือสิทธิในครอบครัว” นั้น มีความหมายว่า ถ้าเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิแห่งสภาพบุคคลหรือสิทธิในครอบครัวแล้ว มีสิทธิที่จะอุทธรณ์ได้เท่านั้น แต่หาได้มีความหมายไปถึงว่า คดีเกี่ยวกับสิทธิสภาพบุคคลและสิทธิในครอบครัวดังกล่าวเป็นคดีที่ไม่มีทุนทรัพย์เสมอไปไม่ เป็นคนละเรื่องกัน สำหรับคดีนี้ โจทก์ฟ้องหย่าและเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดู ค่าทดแทนและค่าเลี้ยงชีพอันเป็นการฟ้องตั้งสิทธิอันเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์หรือความเกี่ยวข้องในครอบครัวระหว่างโจทก์กับจำเลยซึ่งเป็นสามีภริยากัน จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในครอบครัว ซึ่งมีสิทธิที่จะอุทธรณ์ฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคสองและ 248 วรรคสอง แต่การที่โจทก์เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูมาจำนวน180,000 บาท และเรียกค่าทดแทนมาจำนวน 200,000 บาท รวม380,000 บาท อันเป็นการฟ้องเรียกร้องทรัพย์สินมีค่าเป็นจำนวนเงินเข้ามาด้วย กรณีจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ซึ่งโจทก์จำต้องชำระค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ฟ้องดังกล่าวและโจทก์ไม่นำมาชำระจึงเป็นการทิ้งฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 174(2) และเห็นว่า โจทก์ฟ้องและเรียกร้องตามคำขอท้ายฟ้องมาสี่ประการกล่าวคือ ฟ้องขอหย่าเรียกต่ออุปการะเลี้ยงดูเรียกค่าทดแทน และเรียกค่าเลี้ยงชีพ ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์ชำระค่าขึ้นศาลเฉพาะเกี่ยวกับค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าทดแทนที่โจทก์มีหน้าที่จะต้องชำระตามกฎหมายเท่านั้น เมื่อโจทก์ไม่ชำระจึงเป็นการทิ้งฟ้องเฉพาะในส่วนข้อกำหนดตามที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไว้เท่านั้นเช่นกัน จะพิจารณาแปลไปถึงกับว่าโจทก์ได้ทิ้งฟ้องหมดทั้งคดีเสียทีเดียวไม่ได้ เพราะคำฟ้องเฉพาะเรื่องขอหย่าเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ไม่จำต้องชำระค่าขึ้นศาล ส่วนคำฟ้องเกี่ยวกับคำขอค่าเลี้ยงชีพเป็นคำฟ้องเรียกค่าเสียหายในอนาคต ซึ่งโจทก์ได้ชำระค่าขึ้นศาลในอนาคตไว้ถูกต้องแล้ว เมื่อฟ้องของโจทก์ในสองส่วนนี้ซึ่งเป็นฟ้องที่สมบูรณ์และชอบด้วยกฎหมายอยู่และแยกเป็นคนละส่วนจากคำฟ้องที่โจทก์ทิ้งฟ้องได้เช่นนี้ จึงไม่มีเหตุที่ศาลชั้นต้นจะถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องในสองส่วนนี้ด้วย
พิพากษายืน

Share