แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมทแอมเฟตามีนของกลางที่จำเลยมีไว้ในครอบครองมีจำนวนถึง170เม็ดซึ่งเป็นจำนวนมากเกินกว่าจะใช้เสพเองทั้งไม่ได้ความว่าจำเลยที่1เสพเมทแอมเฟตามีนเองด้วยเชื่อได้ว่าจำเลยที่1มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจ่ายแจกให้แก่ผู้อื่นอันเป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อขายซึ่งเป็นความผิดฐานขายเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท2และเมื่อเมทแอมเฟตามีนของกลางมีปริมาณเมทแอมเฟตามีนคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์2.876กรัมซึ่งเกินปริมาณ0.500กรัมที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดให้มีได้จำเลยที่1จึงมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท2ไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 6(7) ทวิ,13 ทวิ, 62, 63, 89, 106, 106 ทวิ, 116 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 32, 33, 83 และริบเมทแอมเฟตามีนของกลางที่เหลือจากการวิเคราะห์หนัก 9.5 กรัม ให้แก่กระทรวงสาธารณสุข
จำเลย ทั้ง สอง ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิวรรคหนึ่ง, 62 วรรคหนึ่ง, 89, 106 ทวิ การกระทำของจำเลยที่ 1เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทซึ่งมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 ไว้ในครอบครองเพื่อขายเพียงบทเดียวให้จำคุก 6 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 4 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางที่เหลือจากการวิเคราะห์หนัก 9.5 กรัม ให้แก่กระทรวงสาธารณสุข ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2
จำเลย ที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้เป็นยุติว่าวัตถุของกลางจำนวน 170 เม็ด เป็นเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 2.876 กรัมคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1ได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาได้พิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์แล้วเห็นว่า พันตำรวจโทสมบูรณ์ นายดาบตำรวจกมลและจ่าสิบตำรวจอดุลย์ ผู้ร่วมจับกุมจำเลยที่ 1 ต่างเป็นเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่โดยไม่ปรากฎว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 มาก่อน ไม่มีเหตุที่จะระแวงสงสัยว่าพยานโจทก์ดังกล่าวจะเบิกความปรักปรำใส่ร้ายจำเลยที่ 1 เชื่อได้ว่าพยานโจทก์ทั้งสามได้เบิกความไปตามความเป็นจริง คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามซึ่งสอดคล้องต้องกันจึงมีน้ำหนักให้เชื่อถือได้ และนอกจากจำเลยที่ 1 ได้ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมตามบันทึกการตรวจค้นและจับกุมเอกสารหมาย จ.2 ว่ามีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทของกลางไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีกำหนดแล้ว จำเลยที่ 1 ยังได้ให้การรับสารภาพเช่นนั้นในชั้นสอบสวนในวันเดียวกันนั้น ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.7 อีกด้วย โดยจำเลยที่ 1 ให้การว่าเมื่อเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นบริเวณบ้านและในบ้านไม่พบสิ่งผิดกฎหมายแล้ว ได้สอบถามจำเลยที่ 1 ว่าเก็บเมทแอมเฟตามีนไว้ที่ใด เพราะสืบทราบว่ามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในความครอบครอง จำเลยที่ 1พาเจ้าพนักงานตำรวจไปตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 170 เม็ดบรรจุในซองพลาสติกฝังดินอยู่ลึกประมาณ 1 คืบ ที่บริเวณริมรั้วบ้านจำเลยที่ 1 ห่างจากบ้านจำเลยที่ 1 ประมาณ 10 วา หลังจากนั้นเจ้าพนักงานตำรวจแจ้งข้อหาจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเจ้าพนักงานตำรวจจึงควบคุมจำเลยที่ 1พร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีต่อไป พยานหลักฐานของโจทก์ประกอบกันมีน้ำหนักแน่นแฟ้นฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครอง พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ เมทแอมเฟตามีน ของกลางที่จำเลยที่ 1มีไว้ในครอบครองดังกล่าวมีจำนวนถึง 170 เม็ด ซึ่งเป็นจำนวนมากเกินกว่าจะใช้เสพเอง ทั้งไม่ได้ความว่าจำเลยที่ 1 เสพเมทแอมเฟตามีน เองด้วย จึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจ่ายแจกให้แก่ผู้อื่นอันเป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อขายซึ่งเป็นความผิดฐานขายเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 และเมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่าเมทแอมฟาตามีนของกลางมีปริมาณเมทแอมเฟตามีนคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ 2.876 กรัม ซึ่งเกินปริมาณ0.500 กรัม ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดให้มีได้ จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดด้วย
พิพากษายืน