คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1412/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องได้ครองครองทำนาในที่พิพาทในกรอบสีแดงตามแผนที่วิวาทเอกสารหมายร.5เนื้อที่10ไร่2งาน27ตารางวาตามที่ผู้ร้องนำชี้ยืนยันโดยมิใช่เช่าจากฝ่ายผู้คัดค้านทั้งสี่ถึงแม้ในช่วงแรกผู้ร้องจะเข้าใจผิดว่าที่พิพาทเป็นที่หัวไร่ปลายนาก็ตามหากแต่ผู้ร้องได้ยึดถือครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของอย่างแท้จริงไม่จำเป็นที่ผู้ร้องจะต้องรู้มาก่อนว่าที่ดินนั้นเป็นของผู้คัดค้านทั้งสี่แล้วแย่งการครอบครองเป็นเวลาสิบปีจึงจะได้กรรมสิทธิ์ฉะนั้นเมื่อผู้ร้องเข้าครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาติดต่อกันเกินกว่าสิบปีผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382

ย่อยาว

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 29669 ตำบลบางน้ำเปรี้ยว อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา เนื้อที่ 15 ไร่ ตามแผนที่ท้ายคำร้องขอ ซึ่งมีนางหนับ เย็นประสิทธิ์ นางสมจิตร เย็นประสิทธิ์ และนายหมัด เย็นประสิทธิ์ เป็นเจ้าของโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว
ผู้คัดค้านทั้งสี่ยื่นคำคัดค้านว่า ที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้คัดค้านทั้งสี่ ผู้ร้องได้เช่าทำนาในที่พิพาทจากผู้คัดค้านเพียง 3 ปี จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท ที่พิพาทมีเนื้อที่เพียง 10 ไร่ ไม่ใช่ 15 ไร่ ขอให้ยกคำร้องขอ
ระหว่าง พิจารณา นาย หวัง เย็นประสิทธิ์ ถึงแก่ความตาย ผู้คัดค้าน ที่ 1 ใน ฐานะ ผู้จัดการมรดก คนใหม่ ของ นาย หมัดเย็นประสิทธิ์ ยื่น คำร้องขอ เข้า เป็น คู่ความ แทน ศาลชั้นต้น อนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 2969ตำบลบางน้ำเปรี้ยว อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทราบางส่วนเนื้อที่ 10 ไร่ 2 งาน 27 ตารางวา ตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย ร.5 ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายต๊ะเล๊าะ มังเดชะผู้ร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
ผู้คัดค้าน ทั้ง สี่ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายืน
ผู้คัดค้าน ทั้ง สี่ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังในเบื้องต้นว่าผู้คัดค้านที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 กับนายหมัด เย็นประสิทธิ์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 2969 ตำบลบางน้ำเปรี้ยวอำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา ส่วนผู้ร้องเป็นผู้ครอบครองที่ดินทางด้านทิศใต้ของที่ดินแปลงดังกล่าว ถัดจากลำรางแพรกบัวหรือบึงกองดำตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย ร.5
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านทั้งสี่ว่า คำร้องขอของผู้ร้องเคลือบคลุม นั้น เห็นว่าผู้คัดค้านไม่ได้ยื่นคำคัดค้านในเรื่องดังกล่าวไว้ จึงไม่มีประเด็นและเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านทั้งสี่ว่าผู้ร้องได้ครอบครองที่พิพาทจนได้กรรมสิทธิ์หรือไม่เห็นว่า พยานผู้ร้องเบิกความสอดคล้องต้องกันยืนยันว่าผู้ร้องครอบครองและทำนาในที่พิพาทมาเกิน 10 ปี อย่างเจ้าของโดยมิได้เช่าจากผู้ใด ที่ผู้คัดค้านทั้งสี่อ้างว่าผู้รองเช่าที่พิพาทจากผู้คัดค้านทั้งสี่เพื่อทำนา แต่ผู้คัดค้านที่ 1 กลับเบิกความว่าเป็นคนให้ผู้ร้องทำนาในที่พิพาทโดยไม่ได้ตกลงเรื่องค่าเช่า ไม่ได้ทำสัญญาเช่าไว้ และไม่เคยรับค่าเช่าจากผู้ร้องและเห็นว่า ที่พิพาทมีเนื้อที่มากถึง 10 ไร่ 2 งาน 27 ตารางวาและมีราคาสูง หากให้ผู้ร้องเช่าที่พิพาททำนาจริง ก็น่าจะทำสัญญาเช่าเป็นลายลักษณ์อักษรไว้เป็นหลักฐาน และคิดค่าเช่าตามสมควร เพราะไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้านทั้งสี่กับผู้ร้องเกี่ยวข้องเป็นญาติ หาได้สนิทสนมกันอย่างไรถึงกับจะให้เข้าทำนาในที่ดินของผู้คัดค้านทั้งสี่โดยไม่คิดค่าตอบแทนเช่นนี้ ทางนำสืบของผู้คัดค้านทั้งสี่จึงไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ พยานหลักฐานผู้ร้องจึงมีน้ำหนักกว่าพยานผู้คัดค้านทั้งสี่ จึงฟังข้อเท็จจริงได้ตามที่ผู้ร้องนำสืบว่า ผู้ร้องได้ครอบครองทำนาในที่พิพาทในกรอบสีแดงตามแผนที่วิวาทเอกสารหมาย ร.5 เนื้อที่ 10 ไร่2 งาน 27 ตารางวา ตามที่ผู้ร้องนำชี้ยืนยัน โดยมิได้เช่าจากฝ่ายผู้คัดค้านทั้งสี่ ถึงแม้ในช่วงแรกผู้ร้องจะเข้าใจผิดว่าที่พิพาทเป็นที่หัวไร่ปลายนาก็ตาม หากแต่ผู้ร้องได้ยึดถือครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง ไม่จำเป็นที่ผู้ร้องจะต้องรู้มาก่อนว่าที่ดินนั้นเป็นของผู้คัดค้านทั้งสี่ แล้วแย่งการครอบครองเป็นเวลาสิบปีจึงจะได้กรรมสิทธิ์ ฉะนั้นเมื่อผู้ร้องเข้าครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาติดต่อกันเกินกว่าสิบปี ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382
พิพากษายืน

Share