คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1205/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่2และที่3ร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุจำเลยที่1เป็นลูกจ้างของจำเลยที่2หรือเพราะเหตุจำเลยที่1เป็นตัวแทนของจำเลยที่2กรณีใดกรณีหนึ่งเมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดให้เป็นประเด็นนายจ้างลูกจ้างแสดงว่าคู่ความประสงค์กำหนดประเด็นข้อพิพาทความรับผิดเรื่องนายจ้างลูกจ้างเพียงเหตุเดียวส่วนความรับผิดเรื่องตัวการตัวแทนเป็นอันหมดสิ้นไปเมื่อโจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้จึงมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยแต่เพียงว่าจำเลยที่1เป็นลูกจ้างและกระทำการในทางการที่จ้างหรือไม่การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่1เป็นตัวแทนของจำเลยที่2กระทำละเมิดต่อโจทก์จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นดังนั้นเมื่อโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่1เป็นลูกจ้างของจำเลยที่2จำเลยที่2จึงไม่ต้องรับผิดในฐานะนายจ้างและจำเลยที่3ผู้รับประกันวินาศภัยรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่2ก็ไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างหรือตัวแทนจำเลยที่ 2 กระทำการในทางการที่จ้างหรือตัวแทนจำเลยที่ 2ได้ขับรถยนต์บรรทุก หมายเลขทะเบียน 82-8291 นครปฐมของจำเลยที่ 2 ซึ่งเอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ 3 ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังและความเร็วสูงชนร้านขายต้นไม้ประดับของโจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 169,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี
ระหว่างการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นอนุญาตและให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1ออกจากสารบบความ
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ลูกจ้างและกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 แต่เป็นลูกจ้างของบริษัทตั้งเฮงฮวดนครปฐม จำกัด จำเลยที่ 1 มิได้ขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อ แต่เนื่องจากรถยนต์คันอื่นเปลี่ยนช่องเดินรถตัดหน้าอย่างกะทันหันจึงหักรถหลบไปทางซ้ายตกคูน้ำชนร้านค้าของโจทก์อันเป็นเหตุสุดวิสัย จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันใช้ค่าเสียหายจำนวน169,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันทำละเมิด (วันที่ 9 เมษายน 2535) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 หรือเพราะเหตุจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 กรณีใดกรณีหนึ่ง เมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดให้เป็นประเด็นนายจ้าง ลูกจ้าง แสดงว่าคู่ความประสงค์กำหนดประเด็นข้อพิพาทความรับผิดเรื่องนายจ้างลูกจ้างเพียงเหตุเดียว ส่วนความรับผิดเรื่องตัวการตัวแทนเป็นอันหมดสิ้นไป หลังจากศาลชั้นต้นชี้สองสถานแล้วโจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้จึงมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยแต่เพียงว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างและกระทำการในทางการที่จ้างหรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 กระทำละเมิดต่อโจทก์จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น แม้คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงก็ตามแต่เห็นว่าคู่ความได้สืบข้อเท็จจริงปรากฎและพยานหลักฐานอยู่ในสำนวนแล้วจึงสมควรวินิจฉัยให้เสร็จสิ้นไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอีก ซึ่งทางนำสืบโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดในฐานะนายจ้าง จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันวินาศภัยรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 ก็ไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share