แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางพิพาทซึ่งอยู่ในที่ดินของจำเลยอ้างว่าเป็นทางภารจำยอมจำเลยให้การว่าทางพิพาทดังกล่าวมิใช่ทางภารจำยอมจึงเป็นกรณีที่โจทก์จำเลยพิพาทกันเฉพาะทางพิพาทว่าเป็นทางภารจำยอมหรือไม่เท่านั้นแม้ฟ้องโจทก์จะอ้างว่าทางพิพาทอยู่ในที่ดินของจำเลยและจำเลยได้นำชี้อ้างว่าทางพิพาทอยู่ในเขตที่ดินของจำเลยก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์และจำเลยมีข้อพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าวนอกเหนือจากเรื่องทางภารจำยอมไปด้วยแต่อย่างใดไม่การที่จำเลยนำชี้เขตที่ดินในการทำแผนที่พิพาทว่าที่ดินตามกรอบสีแดงในแผนที่พิพาทเป็นของตนและจำเลยร่วมคัดค้านว่าที่ดินตามกรอบสีเขียวในแผนที่พิพาทเป็นของจำเลยร่วมก็เป็นกรณีที่จำเลยร่วมถูกโต้แย้งสิทธิในความเป็นเจ้าของที่ดินซึ่งมิได้เป็นข้อพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลยในคดีนี้ด้วยโจทก์จึงหามีสิทธิที่จะขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยร่วมเจ้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้ได้ไม่แต่เป็นกรณีที่จำเลยและจำเลยร่วมชอบที่จะต้องนำปัญหาดังกล่าวไปฟ้องร้องเป็นคดีใหม่โดยตั้งประเด็นพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินตามกรอบสีเขียวโดยเฉพาะต่อไปการที่ศาลชั้นต้นหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีและศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยในประเด็นที่เกี่ยวกับสิทธิในที่ดินตามกรอบสีเขียวระหว่างจำเลยทั้งสองกับจำเลยร่วมนอกเหนือจากเรื่องทางภารจำยอมมาด้วยนั้นจึงเป็นการไม่ชอบปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องอำนาจฟ้องอันเป็นปัญหาที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)ประกอบมาตรา246,247และให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่วินิจฉัยเกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่ดินตามกรอบสีเขียวในแผนที่พิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองกับจำเลยร่วมยกฎีกาจำเลยร่วมแต่ไม่ตัดสิทธิจำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมที่จะไปฟ้องร้องกันใหม่ในเรื่องเกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่ดินตามกรอบสีเขียวในแผนที่พิพาทต่อไป
ย่อยาว
โจทก์ทั้งห้าฟ้องว่า ทางเข้าออกที่พิพาทผ่านที่ดินของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 โจทก์กับจำเลยดังกล่าวเคยตกลงกันให้นำทางเข้าออกในส่วนที่ผ่านที่ดินของแต่ละคนไปจดทะเบียนเป็นทางภารจำยอม ต่อมาเดือนเมษายน 2536 จำเลยที่ 1 และที่ 2ขอรังวัดออกโฉนดที่ดินและไม่ยอมเปิดทางภารจำยอมตามที่ตกลงกันขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และที่ 2 จดทะเบียนและเปิดทางภารจำยอมกว้าง 8 เมตร ยาว 32 เมตร ตั้งแต่ทิศเหนือของที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดินของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เลขที่ 45หมู่ที่ 3 ตำบลกกโก อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี ซึ่งติดกับทางสาธารณะ วัดดงน้อยห้วยนิคม จนถึงที่ดินของโจทก์ที่ 1เพื่อใช้เข้าออกสู่ทางสาธารณะ วัดดงน้อย-ห้วยนิคม โดยโจทก์ทั้งห้าเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย หากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสองให้การว่า เดิมจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินส.ค.1 เลขที่ 45 เนื้อที่ 2 งาน โดยได้รับมรดกจากนายสิงห์ พรมทา บิดายกให้เมื่อปี 2485 ต่อมาปี 2528 จำเลยที่ 1ได้ขายให้แก่จำเลยที่ 2 แล้วย้ายไปอยู่ที่อื่นนานแล้ว จำเลยที่ 1มิได้มีสิทธิครอบครองที่ดินดังกล่าว โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องให้จำเลยที่ 1 เปิดทางภารจำยอม จำเลยทั้งสองไม่เคยตกลงว่าจะจดทะเบียนทางภารจำยอมดังโจทก์ที่ 1 และที่ 2 อ้างทางเข้าออกในที่ดินตามฟ้องไม่ใช่ทางภารจำยอม โจทก์ทั้งห้ามีทางอื่นสามารถใช้เข้าออกสู่ทางสาธารณะได้ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นสั่งให้ทำแผนที่พิพาทโดยให้คู่ความนำชี้ จำเลยทั้งสองนำชี้ว่าทางพิพาทอยู่ในเขตที่ดินของจำเลยทั้งสองตามกรอบสีแดงนางเสงี่ยม สีดา คัดค้านว่าทางพิพาทบางส่วนอยู่ในเขตที่ดินของตนตามกรอบสีเขียวซึ่งเป็นที่ดินด้านทิศเหนือตอนบนติดทางสาธารณะ โดยอ้างว่าจำเลยทั้งสองนำชี้เขตที่ดินรุกล้ำที่ดินของตนบางส่วน โจทก์ทั้งห้ายื่นคำร้องขอให้เรียกนางเสงี่ยม สีดา เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า จำเลยร่วม และนายสี สีดา เป็นผู้ครอบครองที่ดินตามฟ้องบางส่วน (ตามกรอบสีเขียวในแผนที่พิพาท)โดยการรับมรดกเริ่มจากปากทางเข้าออกไปจนถึงที่ดินที่จำเลยที่ 1และที่ 2 ครอบครองอยู่ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่เคยเกี่ยวข้องกับที่ดินดังกล่าว ทางพิพาทตามที่โจทก์ทั้งห้าฟ้องเป็นทางภารจำยอมซึ่งโจทก์ทั้งห้าและชาวบ้านข้างเคียงได้ใช้มานานเกินกว่า 10 ปี แล้วในปี 2528 จำเลยร่วมและนายสียกที่ดินนั้นแต่เพียงบางส่วนให้แก่ทางราชการเพื่อใช้เป็นที่อ่านหนังสือพิมพ์ประจำหมู่บ้านและทางสาธารณะ ต่อมาปี 2536 จำเลยร่วมคัดค้านการนำรังวัดและทำแผนที่พิพาทของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไปจดทะเบียนทางภารจำยอมในที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดินเลขที่ 45มีความกว้าง 3 เมตร นับจากแนวเสาไฟฟ้าด้านทิศตะวันตกมีความยาวตั้งแต่ทิศเหนือลงมาทางทิศใต้ตลอดแนวที่ดิน โดยให้โจทก์ทั้งห้าเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย หากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยดังกล่าวคำขออื่นให้ยก
จำเลยร่วม อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยร่วม ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ทั้งห้าฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองเปิดทางพิพาทซึ่งอยู่ในที่ดินของจำเลยทั้งสองอ้างว่าเป็นทางภารจำยอมจำเลยทั้งสองให้การว่าทางพิพาทดังกล่าวมิใช่ทางภารจำยอมจึงเป็นกรณีที่โจทก์จำเลยพิพาทกันเฉพาะทางพิพาทว่าเป็นทางภารจำยอมหรือไม่เท่านั้น แม้ฟ้องโจทก์จะอ้างว่าทางพิพาทอยู่ในที่ดินของจำเลยทั้งสอง และจำเลยทั้งสองได้นำชี้อ้างว่าทางพิพาทอยู่ในเขตที่ดินของจำเลยทั้งสอง ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งห้าและจำเลยทั้งสองมีข้อพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าวนอกเหนือจากเรื่องทางภารจำยอมไปด้วยแต่อย่างใดไม่การที่จำเลยทั้งสองนำชี้เขตที่ดินในการทำแผนที่พิพาทว่าที่ดินตามกรอบสีแดงในแผนที่พิพาทเป็นของตน และจำเลยร่วมคัดค้านว่าที่ดินตามกรอบสีเขียวในแผนที่พิพาทเป็นของจำเลยร่วม ก็เป็นกรณีที่จำเลยร่วมถูกโต้แย้งสิทธิในความเป็นเจ้าของที่ดิน ซึ่งมิได้เป็นข้อพิพาทระหว่างโจทก์ทั้งห้าและจำเลยทั้งสองในคดีนี้ด้วยโจทก์ทั้งห้าจึงหามีสิทธิที่จะขอให้ศาลหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้ได้ไม่ แต่เป็นกรณีที่จำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมชอบที่จะต้องนำปัญหาดังกล่าวไปฟ้องร้องเป็นคดีใหม่โดยตั้งประเด็นพิพาทเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินตามกรอบสีเขียวโดยเฉพาะต่อไปการที่ศาลชั้นต้นหมายเรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีและศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยในประเด็นที่เกี่ยวกับสิทธิในที่ดินตามกรอบสีเขียวระหว่างจำเลยทั้งสองกับจำเลยร่วมนอกเหนือจากเรื่องทางภารจำยอมมาด้วยนั้น จึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหาดังกล่าวเป็นเรื่องอำนาจฟ้องอันเป็นปัญหาที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246, 247
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2ในส่วนที่วินิจฉัยเกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่ดินตามกรอบสีเขียวในแผนที่พิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองกับจำเลยร่วมยกฎีกาจำเลยร่วมแต่ไม่ตัดสิทธิจำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมที่จะไปฟ้องร้องกันใหม่ในเรื่องเกี่ยวกับสิทธิครอบครองในที่ดินตามกรอบสีเขียวในแผนที่พิพาทต่อไป คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้จำเลยร่วม