คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 998/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านพิพาทได้ให้ส. มีสิทธิอาศัยในบ้านพิพาทตลอดชีวิตแต่ส. ได้ย้ายไปพักรักษาตัวอยู่กับบุตรสาวส่วนจำเลยอยู่กินเป็นสามีภรรยากับบุตรของส.โดยมิได้จดทะเบียนสมรสกันและมีบุตรด้วยกัน2คนส.ยอมให้จำเลยและบุตรอาศัยอยู่ในบ้านพิพาทได้จำเลยจึงมีฐานะเป็นบุตรสะใภ้ของส. ย่อมถือได้ว่าจำเลยมีฐานะเป็นบุคคลในครอบครัวและในครัวเรือนของส. ผู้มีสิทธิอาศัยในบ้านพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1405แล้วแม้ต่อมาส. จะไปรักษาตัวอยู่กับบุตรสาวและไม่ได้อยู่ในบ้านพิพาทก็ตามแต่ส. ก็ยังมิได้สละสิทธิอยู่อาศัยในบ้านพิพาทยังคงมีสิทธิอยู่อาศัยในบ้านพิพาทได้ตลอดเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่จำเลยซึ่งเป็นบุคคลในครอบครัวและในครัวเรือนของส.จึงมีสิทธิอยู่ในบ้านพิพาทได้โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย ปัญหาว่าคำให้การของจำเลยก่อให้เกิดประเด็นที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาหรือไม่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนชอบที่ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ได้ จำเลยให้การตอสู้คดีว่าเป็นบริวารของส. และได้เข้าอาศัยอยู่ในบ้านพิพาทโดยได้รับความยินยอมจากส.คำให้การของจำเลยเท่ากับเป็นการยกข้อต่อสู้ว่าจำเลยเป็นบุคคลในครอบครัวและในครัวเรือนของส. มีสิทธิอยู่ในบ้านพิพาทด้วยได้ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นบุคคลในครอบครัวและในครัวเรือนของส. จึงไม่เกินเลยไปจากคำให้การของจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านเลขที่ 327/2ให้จำเลยอาศัยมาเป็นเวลาหลายปี โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยและบริวารอาศัยอยู่ในบ้านดังกล่าวต่อไป จำเลยได้ตกลงกับโจทก์ยอมย้ายออกจากบ้านภายในวันที่ 1 ธันวาคม 2536 เมื่อครบกำหนดแล้วจำเลยเพิกเฉยหากโจทก์นำบ้านดังกล่าวให้บุคคลอื่นเช่า จะได้ค่าเช่าเดือนละ1,200 บาท ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากบ้านพิพาทและส่งมอบบ้านคืนในสภาพเรียบร้อย พร้อมกับชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 1,200 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากบ้านพิพาทจำเลยให้การว่า นางสำลี สกุลเมือง ได้รับสิทธิอาศัยในบ้านพิพาทตลอดชีวิต จำเลยเป็นภริยาของนายสุรชาติ เพ็ญสุขเหลือซึ่งเป็นบุตรของนางสำลี จำเลยมีบุตรกับนายสุรชาติ 2 คนจำเลยและบุตรได้รับความยินยอมจากนางสำลีให้อาศัยในบ้านพิพาทจึงเป็นบริวารของนางสำลีและมีสิทธิอาศัยในบ้านพิพาทได้โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยเป็นบุคคลในครอบครัวและในครัวเรือนของนางสำลี สกุลเมือง ผู้อาศัยหรือไม่ ในการวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนซึ่งศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงมาว่า โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านพิพาทได้ให้นางสำลี สกุลเมือง มีสิทธิอาศัยในบ้านพิพาทตลอดชีวิต ขณะโจทก์ฟ้องคดีนี้นางสำลียังมีชีวิตอยู่แต่ได้ย้ายไปพักรักษาตัวอยู่กับบุตรสาวที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ส่วนจำเลยอยู่กินเป็นสามีภรรยากับนายสุรชาติ เพ็ญสุขเหลือซึ่งเป็นบุตรของนางสำลี โดยมิได้จดทะเบียนสมรสกันและมีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ เด็กหญิงสุพรรณิกาณ์ กับเด็กชายพลากรนางสำลียอมให้จำเลยและบุตรอาศัยอยู่ในบ้านพิพาทรวมกับนางสำลีได้ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นภรรยาของนายสุชาติแม้จำเลยกับนายสุชาติจะไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน จำเลยก็มีฐานะเป็นลูกสะใภ้ของนางสำลี ซึ่งนางสำลียอมให้จำเลยเข้ามาอยู่ในบ้านพิพาทร่วมกับตน ย่อมถือได้ว่าจำเลยมีฐานะเป็นบุคคลในครอบครัวและในครัวเรือนของนางสำลีผู้มีสิทธิอาศัยในบ้านพิพาท ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1405 แล้ว แม้ต่อมานางสำลีจะไปรักษาตัวอยู่ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์และไม่ได้อยู่ในบ้านพิพาทก็ตาม นางสำลีก็ยังมิได้สละสิทธิอยู่อาศัยในบ้านพิพาท นางสำลียังคงมีสิทธิอยู่อาศัยในบ้านพิพาทได้ตลอดเวลาที่ยังมีชีวิตอยู่สิทธิอยู่อาศัยของนางสำลีหาได้สิ้นไปเพราะมิได้อยู่ในบ้านพิพาทในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ไม่ จำเลยซึ่งเป็นบุคคลในครอบครัวและในครัวเรือนของนางสำลี จึงมีสิทธิอยู่ในบ้านพิพาทได้แม้นางสำลีจะมิได้อยู่ด้วยก็ตาม โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยให้การแต่เพียงว่าจำเลยเป็นบริวารของนางสำลีไม่ได้ให้การว่าเป็นบุคคลในครอบครัวและในครัวเรือนของนางสำลีการที่ศาลวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นบุคคลในครอบครัวและในครัวเรือนของนางสำลีจึงเป็นการวินิจฉัยเกินเลยไปจากคำให้การของจำเลยนั้น เห็นว่า ฎีกาของโจทก์ข้อนี้แม้โจทก์มิได้ยกขึ้นว่ากันในศาลอุทธรณ์ แต่ปัญญาว่า คำให้การของจำเลยก่อให้เกิดประเด็นที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนชอบที่ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ได้เห็นว่า การที่จำเลยให้การต่อสู้ว่าเป็นบริวารของนางสำลี และได้เข้าอาศัยอยู่ในบ้านพิพาทโดยได้รับความยินยอมจากนางสำลี คำให้การของจำเลยเท่ากับเป็นการยกข้อต่อสู้ว่าจำเลยเป็นบุคคลในครอบครัวและในครัวเรือนของนางสำลี มีสิทธิอยู่ในบ้านพิพาทด้วยได้ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้นจึงไม่เกินเลยไปจากคำให้การของจำเลย
พิพากษายืน

Share