คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 959/2540

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อข้ามทางรถไฟแล้วถูกรถไฟเฉี่ยวชนด้านหน้ารถยนต์เสียหายเล็กน้อยแต่เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งนั่งห้อยเท้าอยู่ริมประตูตู้ขนสัมภาระถูกรถยนต์ของจำเลยชนขาหักทั้งสองข้างแม้ในขณะเกิดเหตุขบวนรถไฟจะมีผู้โดยสารแน่จนไม่มีที่นั่งโจทก์กับผู้โดยสารหลายคนจึงต้องนั่งตรงริมประตูตู้ขนสัมภาระยังไม่ถึงกับจะรับฟังได้ว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อซึ่งจะทำให้ค่าเสียหายเป็นพับ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2532 โจทก์โดยสารรถไฟจากสถานีเชียงรากจะเข้ากรุงเทพมหานคร ครั้นรถไฟแล่นถึงที่เกิดเหตุซึ่งถนนเชิดวุฒากาศตัดผ่านทางรถไฟสายดังกล่าวขณะนั้นเครื่องกั้นอัตโนมัติได้ปิดกั้นลงและมีสัญญาณไฟห้ามรถยนต์ผ่าน จำเลยขับรถยนต์เก๋งคันหมายเลขทะเบียน ก-0207 นครนายกไปตามถนนเชิดวุฒากาศจะข้ามทางรถไฟไปยังถนนวิภาวดีรังสิตแทนที่จำเลยจะใช้ความระมัดระวังจำเลยกลับขับรถยนต์ฝ่าเครื่องปิดกั้นและสัญญาณไฟแล่นเลยเข้าไปในทางของรถไฟด้วยความประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้รถยนต์เก๋งของจำเลยเฉี่ยวชนรถไฟ ทำให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัสขาหักทั้งสองข้าง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 265,917.37 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 247,365 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เป็นความผิดของโจทก์ที่ไม่นั่งในตู้โดยสารแต่กลับไปนั่งห้อยขาตรงช่องประตูตู้สินค้าเมื่อรถไฟเฉี่ยวชนรถยนต์จำเลยไปไกลประมาณ 50 เมตร แล้วจึงเบรกหยุด เป็นเหตุให้โจทก์ตกจากรถไฟได้รับบาดเจ็บขาหักทั้งสองข้างซึ่งเกิดจากความประมาทของโจทก์เอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 203,951 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่17 พฤศจิกายน 2532 จนถึงวันชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน196,951 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 17 พฤศจิกายน 2532 จนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าจำเลยหรือไม่ข้อเท็จจริงได้ความตามที่โจทก์และจำเลยนำสืบรับกันและไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีกาว่า จำเลยขับรถยนต์เก๋งโดยประมาทเลินเล่อคือจะข้ามทางรถไฟในขณะที่มีรถไฟแล่นผ่าน และถูกรถไฟเฉี่ยวชนด้านหน้ารถยนต์เก๋งเสียหายเล็กน้อย แต่เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งนั่งห้อยเท้าอยู่ริมประตูตู้รถไฟถูกรถยนต์เก๋งของจำเลยชนได้รับอันตรายสาหัสถึงกับขาหักทั้งสองข้าง ในข้อที่โจทก์นั่งห้อยเท้านี้ได้ความจากคำเบิกความของนางสาวธนาวดี เฟื่องวุฒิราญ นายสาคร สุขชาวนาพนักงานขับรถไฟขบวนที่เกิดเหตุพยานโจทก์และโจทก์โดยจำเลยมิได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่นว่า มีผู้โดยสารแน่นจนไม่มีที่นั่งโจทก์กับผู้โดยสารหลายคนจึงต้องนั่งตรงริมประตูขึ้นลงของตู้ขนสัมภาระซึ่งเป็นช่องว่างโดยไม่มีบานประตูและบันได พื้นตู้รถไฟตรงที่นั่งมีระดับสูงจากพื้นดินประมาณ 80 เซนติเมตร ขบวนรถไฟด้านนี้เฉี่ยวชนกับหน้ารถยนต์เก๋งของจำเลยและหน้ารถยนต์เก๋งของจำเลยชนกระแทกถูกหน้าแข้งของโจทก์เป็นเหตุให้โจทก์ขาหักทั้งสองข้างจนได้รับอันตรายสาหัสดังกล่าว ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีส่วนประมาทด้วย จึงลดค่าเสียหายโดยค่าเสียความสามารถในการประกอบการงานของโจทก์ทั้งในปัจจุบันและอนาคตเนื่องจากขาทั้งสองข้างพิการซึ่งโจทก์เรียกร้องเป็นเงิน 100,000 บาทและศาลชั้นต้นกำหนดให้เป็นเงิน 80,000 บาท นั้น ศาลอุทธรณ์เห็นควรลดลงเหลือ 73,000 บาท ส่วนค่าเสียหายรายการอื่น ๆจำเลยมิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์จึงไม่วินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นว่าศาลอุทธรณ์ได้ใช้ดุลพินิจที่เป็นคุณแก่จำเลยตามสมควรแล้ว ข้อเท็จจริงยังไม่ถึงกับจะรับฟังได้ว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อไม่ยิ่งหย่อนกว่าจำเลยซึ่งจะให้ค่าเสียหายเป็นพับ”
พิพากษายืน

Share