คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 893/2540

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องถึงข้อเท็จจริงความเป็นไปที่จำเลยทั้งสองเข้าผูกพันในเช็คร่วมกับผู้ออกเช็คตลอดจนการรับชำระหนี้โดยระบุจำนวนและลำดับการชำระหนี้ไว้ชัดแจ้งแล้วส่วนข้อที่ว่าในการบังคับชำระหนี้ตามลำดับดังกล่าวนั้นจะถูกต้องหรือกระทำโดยอาศัยสิทธิตามกฎหมายหรือไม่อย่างไรนั้นเป็นรายละเอียดที่โจทก์นำสืบและเป็นปัญหาข้อกฎหมายศาลจะต้องวินิจฉัยปรับบทชี้ขาดต่อไปฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ท. เป็นผู้ค้ำประกันที่ยอมผูกพันตนต่อโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้อย่างลูกหนี้ร่วมมีผลเป็นการสละสิทธิบางประการที่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ตามบทบัญญัติว่าด้วยลักษณะค้ำประกันเท่านั้นเหตุหลุดพ้นจากหนี้ที่ค้ำประกันของท. จะเป็นผลให้จำเลยที่1ในฐานะลูกหนี้หลุดพ้นไปด้วยนั้นย่อมเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา685คือจะหลุดพ้นเฉพาะในส่วนที่ท. ได้ชำระหนี้ส่วนหนี้ที่เหลือนั้นจำเลยที่1ต้องรับผิดต่อโจทก์การที่บุคคลภายนอกชำระหนี้แทนท. ไปเท่าใดจึงถือได้ว่าเป็นการชำระหนี้โดยท. และมีผลให้จำเลยที่1หลุดพ้นเพียงเท่าจำนวนนั้นหนี้ส่วนที่ทง ยังมิได้ชำระแม้โจทก์จะไม่ติดใจเรียกร้องจากท. ไม่ว่าในรูปปลดหนี้หรือประนีประนอมยอมความจำเลยที่1จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่2ค้ำประกันหนี้รายเดียวกับที่ท. ค้ำประกันจึงมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา682วรรคสองเมื่อท. โดยบุคคลภายนอกได้ชำระหนี้ที่ตนค้ำประกันเต็มจำนวนตามที่โจทก์เรียกร้องแล้วทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้สละสิทธิต่อท. มีผลให้หนี้ระงับสำหรับท. ย่อมมีผลให้หนี้สำหรับจำเลยที่2ระงับไปด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา340และมาตรา293จำเลยที่2จึงหลุดพ้นไปด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกค้าโจทก์ประเภทขายลดเช็คมีข้อตกลงว่า จำเลยที่ 1 จะนำเช็คมาทำสัญญาขายลดให้โจทก์เป็นคราว ๆ ไป หากเช็คที่นำมาขายไม่สามารถเรียกเก็บเงินได้จำเลยที่ 1 ยอมชำระเงินตามเช็ค พร้อมดอกเบี้ยที่กำหนดไว้ในสัญญาขายลดเช็คแต่ละคราว โดยมีจำเลยที่ 2 และนางทิพย์สุดา สุขารมณ์เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ต่อมาเมื่อวันที่15 กรกฎาคม 2526 จำเลยที่ 1 นำเช็ค 2 ฉบับ จำนวนเงินฉบับละ200,000 บาท ที่นายเกรียงไกร เดชเจริญยศ ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายมาขายลดให้โจทก์ และวันที่ 13 มกราคม 2527 จำเลยที่ 1นำเช็ค 1 ฉบับ จำนวนเงิน 200,000 บาท ที่นายบรรจบ กลางการลงลายมือชื่อสั่งจ่ายมาขายลดให้โจทก์ ครั้นเมื่อเช็คแต่ละฉบับถึงกำหนด โจทก์นำเช็คไปเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์ได้ฟ้องนายเกรียงไกรและนายบรรจบให้ชำระเงินตามเช็คแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นายเกรียงไกรและนายบรรจบชำระหนี้แก่โจทก์ ครั้นเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2527นางทิพย์สุดาถูกศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดโจทก์ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกันขายลดเช็คจากกองทรัพย์สินของนางทิพย์สุดา ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของนางทิพย์สุดาเป็นเงิน719,687.22 บาท นางทิพย์สุดาขอประนอมหนี้กับโจทก์โดยนำบุคคลภายนอกมาชำระหนี้แก่โจทก์เมื่อวันที่15 มีนาคม 2533 เป็นเงิน 719,687.22 บาท โจทก์หักเงินจำนวน 14,456.25 บาท จากจำนวนเงิน 719.687.22 บาทชำระหนี้ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องนายเกรียงไกรและนายบรรจบแล้วนำเงินส่วนที่เหลือไปชำระดอกเบี้ยกับเงินต้นบางส่วนตามสัญญาขายลดเช็ค ซึ่งปรากฏว่า ณ วันที่15 มีนาคม 2533 จำเลยที่ 1 ค้างชำระต้นเงินโจทก์อยู่572,234.32 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรวมกันชำระเงินจำนวน572,234.32 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 15 มีนาคม 2533 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 และนางทิพย์สุดา สุขารมณ์ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ในการขาดลดเช็คให้โจทก์ มีบุคคลภายนอกชำระหนี้แทนนางทิพย์สุดาจนครบถ้วนและโจทก์พอใจอีกทั้งโจทก์ได้สละสิทธิในอันที่จะเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ 2แล้วโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ได้ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี นับแต่วันที่8 สิงหาคม 2526 ถึงวันที่ 1 มกราคม 2529 และร่วมกันชำระเงิน200,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 20 มกราคม 2527 ถึงวันที่ 1 มกราคม 2529 และนับแต่วันที่ 2 มกราคม 2529 เป็นต้นไปให้คิดดอกเบี้ยจากต้นเงิน600,000 บาท ในอัตราร้อยละ 17 ต่อปี เป็นต้นไปจนถึง(ที่ถูกน่าจะเป็นและนับตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2533 เป็นต้นไป)วันที่ 15 มีนาคม 2533 คิดดอกเบี้ยได้จำนวนเท่าใดให้นำเงินจำนวน 705,230.97 บาท หักออก หากยังเหลืออยู่ให้นำไปหักออกจากต้นเงินจำนวน 600,000 บาท จากนั้นให้คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ17 ต่อปี จากยอดเงินคงเหลือต่อไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลย ทั้ง สอง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 545,082.64 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17 ต่อปีนับแต่วันที่ 15 มีนาคม 2533 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์โดยให้นำยอดหนี้ที่โจทก์ได้รับชำระตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 17202/2527 และ 1950/2528 ของศาลชั้นต้นมาหักออก
จำเลย ทั้ง สอง ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะโจทก์มิได้บรรยายฟ้องเป็นเหตุให้จำเลยไม่สามารถทราบได้ว่าที่โจทก์นำเงิน 14,456.25 บาท ไปชำระค่าธรรมเนียมในคดีที่ศาลแพ่งมีคำพิพากษาให้นายเกรียงไกร เดชเจริญยศ และนายบรรจบ กลางการต้องชำระต่อโจทก์อาศัยสิทธิอะไร เห็นว่า คำฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงข้อเท็จจริงความเป็นไปที่จำเลยทั้งสองเข้าผูกพันในเช็คพิพาทร่วมกับผู้ออกเช็ค ตลอดจนการรับชำระหนี้โดยระบุจนวนและลำดับการชำระหนี้ไว้ชัดแจ้งแล้ว ส่วนปัญหาที่ว่าในการบังคับชำระหนี้ตามลำดับที่โจทก์บรรยายฟ้องไว้ชัดแจ้งดังกล่าวนั้นจะถูกต้องหรือกระทำโดยอาศัยสิทธิตามกฎหมายหรือไม่อย่างไรนั้นเป็นรายละเอียดที่โจทก์นำสืบและเป็นปัญหาในข้อกฎหมายศาลจะต้องวินิจฉัยปรับบทชี้ขาดต่อไป ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุมดังที่จำเลยทั้งสองอ้างฎีกาจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับปัญหาที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า การชำระหนี้บางส่วนแทนนางทิพย์สุดาโดยบุคคลภายนอกและโจทก์สละสิทธิไม่ติดใจเรียกร้องในหนี้ส่วนที่ยังเหลือจากนางทิพย์สุดาอีก ซึ่งจำเลยทั้งสองอ้างว่าการสละสิทธิของโจทก์ดังกล่าวเป็นการปลดหนี้มีผลให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้น และนางทิพย์สุดาเป็นผู้ค้ำประกันที่ยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ย่อมมีผลให้จำเลยทั้งสองหลุดพ้นจากหนี้ด้วยนั้น เห็นว่า ที่ผู้ค้ำประกันยอมผูกพันตนต่อเจ้าหนี้>ยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมนั้น มีผลเป็นการสละสิทธิบางประการที่ผู้ค้ำประกันอาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้เจ้าหนี้ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยลักษณะค้ำประกันเท่านั้น หน้าที่ความรับผิดของลูกหนี้ชั้นต้นที่มีต่อเจ้าหนี้ก็ดี ต่อผู้ค้ำประกันในฐานะพิเศษดังกล่าวก็ดี ยังคงมีอยู่ตามเดิม เหตุหลุดพ้นจากหนี้ที่ค้ำประกันของผู้ค้ำประกันจะเป็นผลให้จำเลยที่ 1 ในฐานะลูกหนี้ชั้นต้นหลุดพ้นไปด้วยนั้นย่อมเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 685 คือจะหลุดพ้นเฉพาะในส่วนที่ผู้ค้ำประกันได้ชำระหนี้ในส่วนหนี้ที่ยังเหลือนั้นจำเลยที่ 1 ในฐานะลูกหนี้ชั้นต้นยังคงต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ดังนี้ ที่บุคคลภายนอกชำระหนี้แทนนางทิพย์สุดาไปเท่าใด จึงถือได้ว่าเป็นการชำระหนี้โดยนางทิพย์สุดาผู้ค้ำประกันและมีผลให้จำเลยที่ 1 หลุดพ้นเพียงเท่าจำนวนนั้น หนี้ส่วนที่นางทิพย์สุดายังมิได้ชำระ แม้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จะไม่ติดใจเรียกร้องจากนางทิพย์สุดา ไม่ว่าจะในรูปปลดหนี้หรือประนีประนอมยอมความหนี้ส่วนดังกล่าวยังคงเป็นส่วนที่ยังมิได้มีการชำระ จำเลยที่ 1 ในฐานะลูกหนี้ชั้นต้นยังคงต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องตรงกันให้จำเลยที่ 1รับผิดนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
แต่สำหรับจำเลยที่ 2 นั้น เป็นการค้ำประกันหนี้รายเดียวย่อมมีผลเป็นผู้ค้ำประกันร่วมกับนางทิพย์สุดา จึงมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกันกับนางทิพย์สุดา ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 682 วรรคสอง เมื่อนางทิพย์สุดาโดยบุคคลภายนอกได้ชำระหนี้ที่ตนค้ำประกันเต็มจำนวนตามที่โจทก์เรียกร้องแล้ว ดังปรากฏตามคำขอรับชำระหนี้เอกสารหมาย ล.1 และการ์ดบัญชีเอกสารหมาย จ.19ตามรายการลงวันที่ 15 มีนาคม 2533 ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้สละสิทธิต่อนางทิพย์สุดามีผลให้หนี้ระงับสำหรับนางทิพย์สุดา ย่อมมีผลให้หนี้สำหรับจำเลยที่ 2 ระงับไปด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 340 และมาตรา 293จำเลยที่ 2 จึงหลุดพ้นไปด้วย ที่ศาลล่างทั้งสองยังคงให้จำเลยที่ 2รับผิดนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 สำหรับจำเลยที่ 1 ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share