แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้นายจ้างหรือลูกจ้างมีสิทธิจะเลิกสัญญาจ้างได้ฝ่ายเดียวโดยอีกฝ่ายหนึ่งไม่จำต้องตกลงหรือยินยอมด้วยก็ตามแต่การเลิกจ้างจะมีผลต่อเมื่อฝ่ายที่ใช้สิทธิเลิกจ้างได้แสดงเจตนาหรือบอกกล่าวให้อีกฝ่ายหนึ่งได้ทราบก่อนและการเลิกจ้างย่อมมีผลทันทีนับแต่ฝ่ายนั้นได้ทราบการแสดงเจตนาหรือการบอกกล่าวนั้น
ย่อยาว
คดีทั้งสี่สำนวนนี้ ศาลแรงงานกลางรวมพิจารณาและพิพากษาเข้าด้วยกันโดยให้เรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 4
โจทก์ทั้งสี่สำนวนฟ้องเป็นใจความว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นลูกจ้างจำเลยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2537 ต่อมาวันที่ 2 กุมภาพันธ์2538 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่โดยโจทก์ทั้งสี่ไม่ได้กระทำความผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และค่าจ้างค้างจ่ายแก่โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 กับให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านับแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2538 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จและให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีในต้นเงินค่าจ้างจ่ายนับแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2538 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นลูกจ้างจำเลย แต่โจทก์ที่ 2ทำงานไม่ครบ 120 วัน จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่ตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 2538 โจทก์ทั้งสี่จึงมีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเพียงคนละ 1 เดือนเท่านั้น ขอให้พิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสี่ตามสิทธิที่โจทก์ทั้งสี่จะพึงได้รับ
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า โจทก์ทั้งสี่เป็นลูกจ้างจำเลยตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2537 ค่าจ้างอัตราสุดท้ายของโจทก์ที่ 1เดือนละ 8,000 บาทของโจทก์ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เดือนละ 9,500บาท จำเลยทำหนังสือเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2538 เลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่แต่มิได้แจ้งให้โจทก์ทั้งสี่ทราบ ต่อมาวันที่ 2 กุมภาพันธ์2538 จำเลยแจ้งให้โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ทราบ วันที่ 5กุมภาพันธ์ 2538 จำเลยจึงแจ้งให้โจทก์ที่ 4 ทราบ พิพากษาให้จำเลยชำระเงินค่าชดเชย แก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงินคนละ 9,500 บาทสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 15,200บาท โจทก์ที่ 2 และที่ 3 เป็นเงินคนละ 18,050 บาท โจทก์ที่ 4เป็นเงิน 17,100 บาท ค่าจ้างค้างจ่ายแก่โจทก์ที่ 1 เป็นเงิน533 บาท โจทก์ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เป็นเงินคนละ 633 บาท กับให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2538 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จคำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า คดีมีประเด็นต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยเพียงว่า จำเลยทำหนังสือเมื่อวันที่ 31 มกราคม2538เลิกจ้างโจทก์ทั้งสี่แต่โจทก์ทั้งสี่ทราบการเลิกจ้างในวันอื่นการเลิกจ้างมีผลตั้งแต่เมื่อใดนั้น เห็นว่า แม้นายจ้างหรือลูกจ้างมีสิทธิจะเลิกสัญญาจ้างได้ฝ่ายเดียวโดยอีกฝ่ายหนึ่งไม่จำต้องตกลงหรือยินยอมด้วยก็ตาม แต่การเลิกจ้างจะมีผลต่อเมื่อฝ่ายที่ใช้สิทธิเลิกจ้างได้แสดงเจตนาหรือบอกกล่าวให้อีกฝ่ายหนึ่งได้ทราบก่อนและการเลิกจ้างย่อมมีผลทันทีนับแต่ฝ่ายนั้นได้ทราบการแสดงเจตนาหรือการบอกกล่าวนั้น เมื่อข้อเท็จจริงเป็นยุติตามที่ศาลแรงงานกลางฟังว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ทราบการเลิกจ้างในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2538 และโจทก์ที่ 4 ทราบการเลิกจ้างในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2538 ดังนั้นการเลิกจ้างของจำเลยจึงมีผลนับแต่วันที่โจทก์ทั้งสี่ได้ทราบ มิใช่ตั้งแต่วันที่31 มกราคม 2538 ดังที่จำเลยอ้าง
พิพากษายืน