คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 586/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การประกอบกิจการขนส่งของโจทก์นั้นโจทก์มีหัวรถพ่วงสำหรับลากจูง3คันกระบะพ่วง3คันรถกระบะหกล้อ1คันและรถกระบะสี่ล้อ1คันในการค้าสินค้าวัสดุก่อสร้างของโจทก์หากลูกค้าต้องการรับสินค้าจากโจทก์โดยตรงก็จะต้องชำระค่าสินค้าในราคาหนึ่งแต่ถ้าลูกค้าต้องการจะรับสินค้าจากคลังสินค้าในเครือบริษัทปูนซีเมนต์ไทย จำกัดจะมีราคาถูกกว่าทั้งนี้โจทก์จะออกใบสั่งซื้อสินค้าให้แก่ลูกค้าเพื่อไปรับสินค้าเองหากลูกค้าไม่มีรถที่จะไปรับของจากคลังสินค้าโดยตรงโจทก์จะนำรถบรรทุกของโจทก์ไปรับจ้างลูกค้าเพื่อขนส่งสินค้าจากคลังสินค้าไปส่งให้แก่ลูกค้าและในการมารับสินค้าจากคลังสินค้าที่กรุงเทพมหานครโจทก์ต้องใช้รถเปล่าไปรับสินค้าดังนั้นโจทก์จึงติดต่อห้างหุ้นส่วนจำกัดบ.เพื่อรับสินค้ายางพาราไปส่งยังกรุงเทพมหานครและบริษัทโจทก์ไม่มีป้ายติดว่ารับจ้างขนส่งสินค้าทั่วไปดังนี้การที่โจทก์รับขนส่งสินค้าในกรณีที่ลูกค้าไม่มีรถไปบรรทุกสินค้าที่คลังสินค้าด้วยการนำรถของโจทก์เองไปบรรทุกสินค้าส่งให้แก่ลูกค้าและการที่โจทก์รับขนส่งสินค้ายางพาราจากจังหวัดสุราษฎร์ธานีไปยังกรุงเทพมหานครนั้นเป็นการให้บริการเป็นครั้งคราวไม่ใช่ประกอบกิจการขนส่งอย่างถาวรแม้จะฟังว่าโจทก์ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการขนส่งส่วนบุคคลแต่กรณีดังกล่าวก็ถือเป็นการกระทำเพื่อการค้าหรือธุรกิจของโจทก์เองจึงไม่เข้าลักษณะเป็นการให้บริการขนส่งในราชอาณาจักรโจทก์ไม่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา81(1)(ณ)แห่งประมวลรัษฎากรโจทก์จึงต้องนำค่าขนส่งมารวมคำนวณเป็นฐานภาษีเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย ประมวลรัษฎากรมาตรา89/1วรรคหนึ่งได้บัญญัติในเรื่องของเงินเพิ่มที่จะต้องเสียไว้2กรณีคือไม่ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มและไม่นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มให้ครบถ้วนภายในกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้และวรรคสองบัญญัติให้การลดเงินเพิ่มนั้นสามารถกระทำได้ในกรณีที่อธิบดีกรมสรรพากรอนุมัติให้ขยายเวลาเสียภาษีตามที่กำหนดในมาตรา3อัฏฐแห่งประมวลรัษฎากรและได้ชำระภาษีหรือนำส่งภาษีภายในกำหนดเวลาที่ขยายให้นั้นเมื่อไม่ปรากฏว่าอธิบดีกรมสรรพากรได้อนุมัติให้ขยายเวลาเสียภาษีตามที่กำหนดไว้ในบทมาตราดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติให้งดเงินเพิ่มได้จึงไม่มีเหตุที่จะลดหรืองดเพิ่มให้แก่โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่ม(ภ.พ.73.1) ของจำเลยที่ 1 เลขที่ 8249/5/100146 ถึง 8249/5/100170ลงวันที่ 2 มิถุนายน 2537 รวม 25 ฉบับ และคำวินิจฉัยอุทธรณ์(ภ.ส.7) ของจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 เลขที่ 8249/5/10057ถึง 8249/5/100181 ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2537 รวม 25 ฉบับหากศาลเห็นว่าโจทก์ต้องรับผิดในค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม ขอให้พิจารณาลดเงินเพิ่มดังกล่าวทั้งหมดรวมเป็นเงิน 56,234.22 บาท
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า การประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลาง พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์ ต่อ ศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาสู่ศาลฎีกาตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์เป็นผู้ประกอบกิจการขนส่งในราชอาณาจักรอันจะได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ประมวลรัษฎากร มาตรา 81 บัญญัติว่า “ให้ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการประกอบกิจการประเภทต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
(1) การขายสินค้าที่มิใช่การส่งออกหรือการให้บริการดังต่อไปนี้
(ก)…
ฯลฯ
(ณ) การให้บริการขนส่งในราชอาณาจักร” ได้ความจากคำเบิกความของนายรังสี ธนมิตรรามณี กรรมการผู้จัดการโจทก์ว่าการประกอบกิจการขนส่งของโจทก์นั้นโจทก์มีหัวรถพ่วงสำหรับลากจูง 3 คัน กระบะพ่วง 3 คัน รถกระบะหกล้อ 1 คัน และรถกระบะสี่ล้อ 1 คัน ในการค้าสินค้าวัสดุก่อสร้างของโจทก์ หากลูกค้าต้องการรับสินค้าจากโจทก์โดยตรงก็จะต้องชำระค่าสินค้าในราคาหนึ่งแต่ถ้าลูกค้าต้องการจะรับสินค้าจากคลังสินค้าในเครือบริษัทปูนซีเมนต์ไทย จำกัด จะมีราคาถูกกว่า ทั้งนี้โจทก์จะออกใบสั่งซื้อสินค้าให้แก่ลูกค้าเพื่อไปรับสินค้าเอง หากลูกค้าไม่มีรถที่จะไปรับของจากคลังสินค้าโดยตรง โจทก์จะนำรถบรรทุกของโจทก์ไปรับจ้างลูกค้าเพื่อขนส่งสินค้าจากคลังสินค้าไปส่งให้แก่ลูกค้าและในการมารับสินค้าจากคลังสินค้าที่กรุงเทพมหานครโจทก์ต้องใช้รถเปล่าไปรับสินค้า ดังนั้น โจทก์จึงติดต่อห้างหุ้นส่วนจำกัดบุญดีสุราษฎร์ธานีขนส่งเพื่อรับสินค้ายางพาราไปส่งยังกรุงเทพมหานคร และยังได้ความว่าบริษัทโจทก์ไม่มีป้ายติดว่ารับจ้างขนส่งสินค้าทั่วไป เห็นว่าที่โจทก์รับขนส่งสินค้าในกรณีที่ลูกค้าไม่มีรถไปบรรทุกสินค้าที่คลังสินค้า ด้วยการนำรถของโจทก์เองไปบรรทุกสินค้าส่งให้แก่ลูกค้า และการที่โจทก์รับขนส่งสินค้ายางพาราจากจังหวัดสุราษฎร์ธานีไปยังกรุงเทพมหานครนั้นเป็นการให้บริการเป็นครั้งคราวไม่ใช่ประกอบกิจการขนส่งอย่างถาวร แม้จะฟังว่าโจทก์ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบการขนส่งส่วนบุคคล แต่กรณีดังกล่าวก็ถือเป็นการกระทำเพื่อการค้าหรือธุรกิจของโจทก์เอง จึงไม่เข้าลักษณะเป็นการให้บริการขนส่งในราชอาณาจักรโจทก์ไม่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 81(1)(ณ) แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์จึงต้องนำค่าขนส่งมารวมคำนวณเป็นฐานภาษีเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย
โจทก์อุทธรณ์ต่อไปว่า โจทก์ขาดเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีมีเหตุควรลดหรืองดเงินเพิ่มให้แก่โจทก์นั้น เห็นว่า ประมวลรัษฎากรมาตรา 89/1 วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติในเรื่องของเงินเพิ่มที่จะต้องเสียไว้ 2 กรณี คือไม่ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มและไม่นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มให้ครบถ้วนภายในกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้และวรรคสอง บัญญัติให้การลดเงินเพิ่มนั้นสามารถกระทำได้ในกรณีที่อธิบดีกรมสรรพากรอนุมัติให้ขยายเวลาเสียภาษีตามที่กำหนดในมาตรา 3 อัฏฐ แห่งประมวลรัษฎากรและได้ชำระภาษีหรือนำส่งภาษีภายในกำหนดเวลาที่ขยายให้นั้น สำหรับกรณีของโจทก์ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าอธิบดีกรมสรรพากรได้อนุมัติให้ขยายเวลาเสียภาษีตามที่กำหนดไว้ในบทมาตราดังกล่าว ทั้งไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติให้งดเงินเพิ่มได้ จึงไม่มีเหตุที่จะลดหรืองดเพิ่มให้แก่โจทก์
พิพากษายืน

Share