คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 345/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ทรัพย์มรดกของจ. เคยมีห. เป็นผู้จัดการมรดกและได้จัดการทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมของจ. ไปตามข้อกำหนดในพินัยกรรมก็ตามแต่ห. ได้ถึงแก่กรรมไปนานแล้วต่อมาเมื่อศาลได้ตั้งให้โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกซึ่งมีสิทธิและหน้าที่ในอันที่จะต้องจัดการทรัพย์มรดกให้เป็นไปตามกฎหมายโจทก์ก็ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกเอาโฉนดที่ดินมรดกจากจำเลยได้เพื่อจัดการทรัพย์มรดกตามกฎหมายจำเลยมิใช่ผู้จัดการมรดกจึงไม่มีข้ออ้างที่จะยึดถือเอาโฉนดที่ดินมรดกไว้ต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามเป็นผู้จัดการมรดกของนางเจ๊ะ ฟาอิดิน ตามคำสั่งศาลแพ่งคดีหมายเลขแดงที่18047/2530 ลงวันที่ 5 ตุลาคม 2530 นางเจ๊ะ มีมรดกเป็นที่ดิน 2 แปลง ตามโฉนดเลขที่ 1642 และ 1493 ตำบลคันนายาวอำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร จำเลยทั้งสองยึดหน่วงครอบครองโฉนดที่ดินดังกล่าวไว้โดยไม่มีเหตุสมควร โจทก์ทั้งสามไม่สามารถแบ่งปันมรดกให้เสร็จสิ้นได้ โจทก์ทั้งสามทวงถามแล้ว จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองบังคับร่วมกันส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 1642 และ 1493 ตำบลคันนายาว อำเภอบางกะปิกรุงเทพมหานคร แก่โจทก์ทั้งสามหากส่งมอบไม่ได้ขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินแทนโฉนดที่ดินที่สูญหาย
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ครอบครองโฉนดที่ดินเลขที่1642 โดยจำเลยที่ 1 เป็นทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนางเจ๊ะนางเจ๊ะทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง เมื่อวันที่ 28 มีนาคม32490 ให้เอาที่ดินแปลงดังกล่าวให้เช่าเก็บผลประโยชน์เป็นทุนการศึกษาทางศาสนาของทายาทและมีคำสั่งให้นายหะยีมาน ฟาอิดินซึ่งเป็นบุตรเก็บรักษาโฉนดที่ดินดังกล่าวไว้ โจทก์ทั้งสามจะนำที่ดินไปขายและแบ่งให้แก่ทายาท จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรของนายหะยีมานไม่อาจส่งมอบโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสามได้ เพราะเป็นคำสั่งของนางเจ๊ะ จำเลยที่ 1 มีสิทธิยึดหน่วงครอบครองโฉนดที่ดินดังกล่าวและไม่ทำให้ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของนางเจ๊ะเสียหายโจทก์ทั้งสามไม่เคยทวงถามจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1มิได้เป็นผู้เก็บครอบครองโฉนดที่ดินเลขที่ 1493 ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้ครอบครองโฉนดที่ดินตามฟ้อง โฉนดที่ดินเลขที่ 1483 อยู่ในครอบครองของมัสยิดยัมอียะตุ้นมุสลีมิน (สุเหร่าคันนายาว) โดยนางเจ๊ะทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมือง เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2490ยกที่ดินให้และมัสยิดดังกล่าวได้ครอบครองที่ดินตั้งแต่ปี 2492ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน โจทก์ทั้งสามไม่มีสิทธิฟ้องเรียกโฉนดที่ดินทั้งสองแปลงจากจำเลยที่ 2 ขอให้ยกฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 1642ตำบลคันนายาว อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร แก่โจทก์ทั้งสาม ยกฟ้องจำเลยที่ 2 คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ด้วยนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันรับฟังได้ว่า นางเจ๊ะ ฟาอิดิน เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 1642 และ 1493 ตำบลคันนายาว อำเภอบางกะปิกรุงเทพมหานคร และทรัพย์สินอื่นด้วย นางเจ๊ะ มีบุตร 3 คนคือนายหะยีโฮม ฟาอิดินและนายสะอาดหรือหะยีเซ็น ฟาอิดิน เมื่อปี 2493 นางเจ๊ะไปแสวงบุญที่เมืองเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบียแล้วหายสาบสูญไม่กลับมา ศาลแพ่งได้มีคำสั่งให้นางเจ๊ะเป็นคนสาบสูญเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2515 และต่อมาเมื่อปี 2516ศาลแพ่งได้มีคำสั่งตั้งให้นายหะยีมานเป็นผู้จัดการมรดกของนางเจ๊ะ ผู้สาบสูญ นายหะยีมานได้ถึงแก่กรรมไปประมาณ 20 ปีแล้ว นายหะยีโฮมและนายสะอาดหรือหะยีเซ็น ก็ถึงแก่กรรมไปแล้วเช่นเดียวกัน ในระหว่างที่นายหะยีมาน เป็นผู้จัดการมรดกของนางเจ๊ะ นั้น นายหะยีโฮมและนายสะอาดหรือหะยีเซ็น ไม่มีปัญหาใด ๆ กับนายหะยีมานเกี่ยวกับทรัพย์มรดกของนางเจ๊ะ โจทก์ที่ 1เป็นบุตรของนายหะยีโฮม โจทก์ที่ 2 เป็นบุตรของนายสะอาดหรือหะยีเซ็น โจทก์ที่ 3 เป็นบุตรของนายหะยีมาน จำเลยที่ 1เป็นบุตรของนายหะยีมานเช่นเดียวกัน ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นบุตรของจำเลยที่ 1 สำหรับโฉนดที่ดินเลขที่ 1493 ที่โจทก์ทั้งสามฟ้องเรียกจากจำเลยทั้งสองนั้นได้อยู่ในความครอบครองของสุเหร่าคันนายาว ศาลชั้นต้นได้พิพากษายกคำขอส่วนนี้ของโจทก์ทั้งสามโจทก์ทั้งสามไม่อุทธรณ์เกี่ยวกับโฉนดที่ดินดังกล่าว คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสามว่า โจทก์ทั้งสามมีสิทธิขอให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 1642 ตำบลคันนายาวอำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร หรือไม่โจทก์ทั้งสามอ้างว่าเมื่อปี 2530 ศาลได้มีคำสั่งให้โจทก์ทั้งสามเป็นผู้จัดการมรดกของนางเจ๊ะ แต่โจทก์ทั้งสามไม่สามารถจัดการมรดกได้เนื่องจากโฉนดที่ดิน 2 ฉบับตามฟ้องอยู่ที่จำเลยทั้งสอง ศาลฎีกาเห็นว่าแม้ทรัพย์มรดกของนางเจ๊ะ เคยมีนายหะยีมานเป็นผู้จัดการมรดกและได้จัดการทรัพย์มรดกตามพินัยกรรมของนางเจ๊ะไปตามข้อกำหนดในพินัยกรรมก็ตาม แต่นายหะยีมานได้ถึงแก่กรรมไปนานแล้ว ต่อมาเมื่อศาลได้ตั้งให้โจทก์ทั้งสามเป็นผู้จัดการมรดกซึ่งมีสิทธิและหน้าที่ในอันที่จะต้องจัดการทรัพย์มรดกให้เป็นตามกฎหมาย โจทก์ทั้งสามก็ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกเอาโฉนดที่ดินมรดกจากจำเลยที่ 1 ได้เพื่อจัดการทรัพย์มรดกตามกฎหมายต่อไปจำเลยที่ 1 มิใช่ผู้จัดการมรดกไม่มีข้ออ้างที่จะยึดถือเอาโฉนดที่ดินไว้ต่อไปในอนาคต
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่1642 ตำบลคันนายาว อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ให้แก่โจทก์ทั้งสามนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share