แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยยังไม่ได้ขายกิจการขายกิจการร้านข้าวต้มที่บ้านเลขที่39-41ถนนสุระสงครามตำบลท่าหินอำเภอเมืองลบบุรีจังหวัดลพบุรีแก่บุคคลใดแต่ยังเป็นกิจการของจำเลยอยู่และในการขอเปิดบัญชีเดินสะพัดต่อธนาคารจำเลยก็ระบุบ้านเลขที่ดังกล่าวเป็นที่อยู่ของจำเลยแม้จำเลยจะพักอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่24/2หมู่ที่2ตำบลท่าศาลาอำเภอเมืองลพบุรี อีกแห่งหนึ่งก็ถือได้ว่าจำเลยมีถิ่นที่อยู่หลายแห่งซึ่งอยู่สับเปลี่ยนกันไปหรือมีหลักแหล่งที่ทำการงานเป็นปกติหลายแห่งจึงถือเอาแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นภูมิลำเนาของจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา38การที่เจ้าพนักงานศาลส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยที่บ้านเลขที่39-41ซึ่งเป็นร้านข้าวต้มดังกล่าวข้างต้นจึงเป็นการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยยังภูมิลำเนาของจำเลยโดยชอบแล้วจำเลยไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนดจึงถือได้ว่าจำเลยจึงใจขาดนัดยื่นคำให้การ ที่จำเลยฎีกาว่ามูลหนี้ตามเช็คพิพาทเกิดจากการเล่นการพนันจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายผู้มีชื่อซึ่งรับเช็คพิพาทจากจำเลยได้เสียการพนันสลากกินรวบแก่จำเลยเป็นเงิน120,000บาทหนี้ตามเช็คพิพาทจึงเหลือเพียง80,000บาทแต่ผู้มีชื่อไม่ยอมนำเช็คพิพาทมาแลกเช็คใหม่กับจำเลยและกลับโอนเช็คพิพาทแก่โจทก์อันเป็นการคบคิดกันฉ้อฉลจำเลยนั้น เมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การย่อมไม่มีประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวแม้ศาลล่างทั้งสองจะวินิจฉัยให้ก็ไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คจำนวนเงิน 200,000 บาทซึ่งจำเลยสั่งจ่ายชำระหนี้แก่โจทก์ ต่อมาโจทก์ได้นำเช็คฉบับดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2536 ปรากฎว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน202,708.30 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 200,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ นัดสืบพยานโจทก์ ก่อนวันนัดสืบพยานโจทก์จำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยไม่ได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องของโจทก์เนื่องจากจำเลยไม่เคยพักอาศัยหรือมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่39 – 41 ถนนสุระสงคราม ตำบลท่าหิน อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรีตามคำฟ้องเดิมจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 64 ถนนสุระสงครามตำบลท่าหิน อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี ต่อมาจำเลยได้จัดทำโครงการจัดสรรบ้านและที่ดินขายในตำบลท่าศาลา อำเภอเมืองลพบุรีจังหวัดลพบุรี จึงได้ย้ายไปพักอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 24/2หมู่ที่ 2 ตำบลท่าศาลา อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี และไม่เคยไปที่บ้านเลขที่ตามคำฟ้อง จำเลยไม่ได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การขอให้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การโจทก์แถลงคัดค้าน
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งว่า จำเลยมีถิ่นที่อยู่หลายแห่ง จำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องโดยชอบแล้วจำเลยไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนด จึงเป็นการจงใจขาดนัดยื่นคำให้การ ให้ยกคำร้องของจำเลย
จำเลย ยื่น คำแถลง คัด ค้านคำสั่ง ของ ศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 200,000 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 28ธันวาคม 2536 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ทั้งนี้ ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง (วันที่ 2 มีนาคม 2537) ต้องไม่เกิน 2,708.30 บาท
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2537 โจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้โดยระบุว่าจำเลยอยู่บ้านเลขที่ 39 – 41 ถนนสุระสงคราม ตำบลท่าหินอำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี วันที่ 18 มีนาคม 2537เจ้าพนักงานศาลไปส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยโดยวิธี>ปิดหมายตามคำสั่งศาลชั้นต้น จำเลยไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนดศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ให้นัดสืบพยานโจทก์วันที่ 6 มิถุนายน 2537 วันที่ 27 เมษายน 2537 เจ้าพนักงานศาลไปส่งหมายนัดสืบพยานโจทก์แก่จำเลย โดยนางรำพึง กิจไพบูลย์ รับหมายนัดสืบพยานโจทก์ไว้แทนจำเลย วันที่ 3 มิถุนายน 2537 จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การ ให้ยกคำร้องของจำเลย
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ 39 – 41 ถนนสุระสงคราม ตำบลท่าหิน อำเภอเมืองลพบุรีจังหวัดลพบุรี เพราะจำเลยได้ขายกิจการร้านข้าวต้มที่บ้านเลขที่ดังกล่าวให้แก่นายวิเชียร แซ่กี้ ตั้งแต่ปี 2536 แต่เหตุที่บันทึกการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องระบุว่าไม่พบจำเลย คงพบแต่ลูกจ้างของจำเลยแจ้งว่าจำเลยออกไปธุระ เพราะลูกจ้างของนายวิเชียรไม่ทราบชื่อบุคคลตามหมายเรียก จึงเข้าใจผิดว่าเจ้าพนักงานศาลจะไปส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่นายวิเชียร หากลูกจ้างของนายวิเชียร ทราบชื่อบุคคลตามหมายเรียกว่าเป็นจำเลย ลูกจ้างของนายวิเชียรก็จะต้องแจ้งแก่เจ้าพนักงานศาลว่าไม่รู้จักหรือได้ย้ายออกไปแล้ว นั้น ปรากฎว่านอกจากบันทึกการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องดังกล่าวแล้ว ตามรายงานเจ้าหน้าที่ของศาลชั้นต้นลงวันที่ 28เมษายน 2527 และใบรับหมายนัดลงวันที่ 27 เมษายน 2537 ก็ระบุว่าเจ้าพนักงานศาลได้ส่งหมายนัดสืบพยานโจทก์แก่จำเลยโดยนางรำพึง กิจไพบูลย์ ซึ่งมีอายุเกิน 20 ปี และอยู่บ้านเดียวกับจำเลย เป็นผู้รับหมายนัดสืบพยานโจทก์ไว้แทนจำเลย ศาลฎีกาเห็นว่าการที่บุคคลใดจะรับหมายไว้แทนบุคคลอื่นนั้น ตามปกติย่อมต้องตรวจสอบชื่อบุคคลในหมายนั้นแล้วคงไม่มีบุคคลใดรับหมายไว้ทั้งที่ยังไม่ทราบว่าเป็นหมายที่จะส่งให้แก่ใคร จำเลยเองก็เบิกความในชั้นไต่สวนคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การว่า นางรำพึงเป็นภริยาจำเลย แม้จำเลยจะอ้างว่าไม่ได้อยู่กินกับนางรำพึงแล้วเพียงแต่ยังไม่ได้หย่ากันเท่านั้นก็เป็นการกล่าวอ้างที่ขัดต่อเหตุผล เพราะหากจำเลยไม่ได้อยู่กินกับนางรำพึงแล้ว นางรำพึงก็คงไม่รับหมายนัดสืบพยานโจทก์ไว้แทนจำเลยข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่า จำเลยยังไม่ได้ขายกิจการร้านข้าวต้มที่บ้านเลขที่ 39 – 41 ถนนสุระสงคราม ตำบลท่าหิน อำเภอเมืองลพบุรีจังหวัดลพบุรี แก่บุคคลใด แต่ยังเป็นกิจการของจำเลยอยู่ ซึ่งในการขอเปิดบัญชีเดินสะพัดต่อธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)สาขาลพบุรี จำเลยก็ระบุบ้านเลขที่ดังกล่าวเป็นที่อยู่ของจำเลยถือได้ว่าจำเลยมีถิ่นที่อยู่หลายแห่งซึ่งอยู่สับเปลี่ยนกันไป หรือมีหลักแหล่งที่ทำการงานเป็นปกติหลายแห่ง จึงถือเอาแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นภูมิลำเนาของจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 38การที่เจ้าพนักงานศาลส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแก่จำเลยที่บ้านเลขที่ 39 – 41 ถนนสุระสงคราม ตำบลท่าหิน อำเภอเมืองลพบุรีจังหวัดลพบุรี จึงเป็นการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยยังภูมิลำเนาของจำเลยโดยชอบแล้ว จำเลยไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนดจึงถือได้ว่าจำเลยจงใจขาดยื่นคำให้การ
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า มูลหนี้ตามเช็คพิพาทเกิดจากการเล่นการพนันจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้มีชื่อซึ่งรับเช็คพิพาทจากจำเลยได้เสียการพนันสลากกินรวบแก่จำเลยเป็นเงิน 120,000 บาท หนี้ตามเช็คพิพาทจึงเหลือเพียง 80,000 บาท แต่ผู้มีชื่อไม่ยอมนำเช็คพิพาทมาแลกเช็คใหม่กับจำเลยและกลับโอนเช็คพิพาทแก่โจทก์ อันเป็นการคบคิดกันฉ้อฉลจำเลยนั้นเห็นว่า เมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การย่อมไม่มีประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวแม้ศาลล่างทั้งสองจะวินิจฉัยให้ก็ไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน