แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์เป็นองค์การของรัฐบาลจัดตั้งขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การตลาดเพื่อเกษตรกรพ.ศ.2517มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรตามมาตรา6(1)ถึง(8)ตามสัญญาซื้อปุ๋ยจำเลยที่1ต้องชำระเงินค่าปุ๋ยให้โจทก์ในวันทำสัญญาไม่น้อยกว่าร้อยละ5ส่วนที่เหลือชำระภายใน12เดือนโดยโจทก์คิดราคาปุ๋ยเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ0.65ต่อเดือนของราคาปุ๋ยที่ค้างชำระเท่านั้นซึ่งเป็นอัตราต่ำโจทก์จึงไม่ใช่พ่อค้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา165(1)เดิมซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะฟ้องเพราะไม่ได้ซื้อสินค้ามาแล้วขายไปเป็นปกติธุระเพื่อหากำไรจึงนำอายุความ2ปีมาบังคับใช้แก่โจทก์ไม่ได้ต้องใช้อายุความ10ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา164เดิม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลมีประธานกรรมการรองประธานกรรมการเลขานุการ เหรัญญิก และกรรมการอีก 1 คน ทำการแทนจำเลยที่ 1 ได้ จำเลยที่ 2 เป็นประธานกรรมการ จำเลยที่ 3 เป็นรองประธานกรรมการ จำเลยที่ 4 เป็นเลขานุการ จำเลยที่ 5 เป็นเหรัญญิกจำเลยที่ 6 เป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม2523 จำเลยที่ 1 แต่งตั้งให้จำเลยที่ 2 ทำการแทนในการซื้อปุ๋ยไปจากโจทก์เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2523 จำเลยที่ 2 ในฐานะทำการแทนจำเลยที่ 1 ได้ตกลงทำสัญญาซื้อปุ๋ย จำนวน 195,800 กิโลกรัมรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 920,260 บาท ไปจากโจทก์ มีจำเลยที่ 2 ถึงที่19 เป็นผู้ค้ำประกัน โดยตกลงว่าจำเลยที่ 1 ต้องชำระค่าปุ๋ยในวันทำสัญญาไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของราคาปุ๋ยทั้งหมดส่วนที่เหลือจะส่งชำระให้เสร็จสิ้นภายในกำหนด 12 เดือน พร้อมทั้งราคาปุ๋ยที่เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 0.65 ต่อเดือน ของราคาปุ๋ยที่ค้างชำระจำเลยที่ 1 ชำระหนี้ให้โจทก์ 2 ครั้ง รวมเป็นเงิน 51,020 บาทแล้วไม่ชำระอีกเลย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสิบเก้าร่วมกันชำระเงินเงินให้โจทก์ 1,549,442.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 0.65ต่อเดือน ในต้นเงิน 943,113.28 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 และที่ 11 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 13 ที่ 15 และที่ 16 ถึงแก่ความตายก่อนโจทก์ฟ้องคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดี
จำเลยที่ 3 และที่ 12 ให้การว่าไม่ได้เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 5 ที่ 6 ที่ 14 ที่ 18 และที่ 19 ให้การว่า โจทก์ฟ้องเรียกดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยและฟ้องเรียกเกิน 5 ปี เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายและฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 7 ที่ 8 ที่ 10 และที่ 17 ให้การว่า โจทก์ฟ้องเรียกดอกเบี้ยค้างชำระเกิน 5 ปี เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย และฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 9 ให้การและแก้ไขคำให้การว่า ลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกันเป็นลายมือชื่อปลอม โจทก์ฟ้องเรียกดอกเบี้ยเกิน 5 ปีและฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 11และที่ 12 ร่วมกันชำระเงิน 1,549,442.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ0.65 ต่อเดือน ในต้นเงิน 943,113.28 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ สำหรับจำเลยที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 ที่ 8ที่ 9 ที่ 10 ที่ 14 ที่ 17 ที่ 18 และที่ 19 ให้ยกฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะดอกเบี้ยให้จำเลยที่ 1 ชำระในอัตราร้อยละ 0.65 ต่อเดือน จากต้นเงิน874,240 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้จำเลยที่ 2ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 ที่ 8 ที่ 9 ที่ 10 ที่ 11 ที่ 12ที่ 14 ที่ 17 ที่ 18 และที่ 19 ร่วมรับผิดด้วยเป็นเงิน 874,240บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 0.65 ต่อเดือน นับจากวันฟ้องถอยหลังลงไป 5 ปี และดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันจากต้นเงิน874,240 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ กับให้จำเลยที่ 5ที่ 6 ที่ 7 ที่ 8 ที่ 9 ที่ 10 ที่ 14 ที่ 17 ที่ 18 และที่ 19ร่วมกันรับผิดกับจำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ จำเลยที่ 7 ที่ 8 ที่ 9 ที่ 10 และที่ 17 ฎีกาโดยจำเลยที่ 7 ที่ 8 ที่ 9 ที่ 10 และที่ 17 ได้รับอนุญาตให้ฎีกาอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยที่ 7 ที่ 8 ที่ 9 ที่ 10 และที่ 17 ฎีกาข้อแรกว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความนั้น เห็นว่า โจทก์เป็นองค์การของรัฐบาล จัดตั้งขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร พ.ศ. 2517 มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรตามมาตรา 6(1) ถึง (8) ตามสัญญาซื้อปุ๋ย เอกสารหมาย จ.10 จำเลยที่ 1 ต้องชำระเงินค่าปุ๋ยให้โจทก์ในวันทำสัญญาไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ส่วนที่เหลือชำระภายใน 12 เดือน โดยโจทก์คิดราคาปุ๋ยเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 0.65 ต่อเดือน ของราคาปุ๋ยที่ค้างชำระเท่านั้นซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำ โจทก์จึงไม่ใช่พ่อค้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) เดิม ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะฟ้อง เพราะไม่ได้ซื้อสินค้ามาแล้วขายไปเป็นปกติธุระเพื่อหากำไรจึงนำอายุความ 2 ปี ตามกฎหมายดังกล่าวมาบังคับใช้แก่โจทก์ไม่ได้ ต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 164 เดิม ฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ ฎีกาจำเลยที่ 7 ที่ 8ที่ 9 ที่ 10 และที่ 17 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนปัญหาตามฎีกาโจทก์ข้อแรกมีว่า การคิดดอกเบี้ยจากต้นเงิน943,113.28 บาท ตามฟ้อง เป็นการคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยหรือไม่ตามสัญญาซื้อปุ๋ยเอกสารหมาย จ.10 ข้อ 2 ระบุว่า “ผู้ซื้อต้องส่งชำระเงินค่าปุ๋ยในวันทำสัญญาไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ของราคาปุ๋ยที่ซื้อทั้งหมดเป็นเงิน 46,020 บาท (สี่หมื่นหกพันยี่สิบบาทถ้วน)ส่วนที่เหลือจะส่งชำระให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดสิบสองเดือน พร้อมทั้งราคาปุ๋ยที่เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 0.65 ต่อเดือน (เศษของเดือนถ้าเกิน 15 วัน คิดเป็นหนึ่งเดือน) ของราคาปุ๋ยที่ค้างชำระ”และข้อเท็จจริงฟังยุติตามฟ้องโจทก์โดยฝ่ายจำเลยมิได้โต้แย้งว่าจำเลยที่ 1 ซื้อปุ๋ยจากโจทก์เป็นเงิน 920,260 บาท ชำระค่าปุ๋ยในวันทำสัญญาแล้ว 46,020 บาท คงค้างชำระ 874,240 บาท โจทก์ได้คิดราคาปุ๋ยเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 0.65 ต่อเดือน ของราคาปุ๋ยที่ค้างชำระนับแต่เดือนกันยายน 2523 ถึงเดือนกันยายน 2524เป็นเงิน 73,873.28 บาท รวมเป็นราคาปุ๋ยค้างชำระ ณ เดือนกันยายน2524 เป็นเงิน 948,113.28 บาท ในเดือนกันยายน 2524 จำเลยที่ 1ได้ผ่อนชำระค่าปุ๋ยอีก 5,000 บาท จึงคงเหลือค่าปุ๋ยค้างชำระ943,113.28 บาท แม้ยอดค้างชำระดังกล่าวจะมีราคาปุ๋ยที่เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 0.65 ต่อเดือน รวมอยู่ด้วย ก็มิใช่ดอกเบี้ยฉะนั้นโจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากยอดเงินค่าปุ๋ยค้างชำระ943,113.28 บาท กรณีมิใช่เป็นการคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัย ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาตามฎีกาโจทก์ข้อสุดท้ายมีว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยย้อนหลังเพียงใด เห็นว่า ดอกเบี้ยเนื่องจากความผิดนัดในกรณีนี้มิใช่ดอกเบี้ยค้างส่งซึ่งมีอายุความ 5 ปี ตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 166 เดิม แต่เป็นดอกเบี้ยที่กำหนดแทนค่าเสียหายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคแรกที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยเนื่องจากการผิดนัดย้อนหลังเพียง 5 ปี จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5ที่ 6 ที่ 7 ที่ 8 ที่ 9 ที่ 10 ที่ 11 ที่ 12 ที่ 14 ที่ 17ที่ 18 และที่ 19 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 943,113.28 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 0.65 ต่อเดือน นับแต่เดือนตุลาคม 2524เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้อง(วันที่ 21 สิงหาคม 2533) ต้องไม่เกิน 606,328.97 บาท ตามที่ขอมา