แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเห็นขณะคนร้ายลักทรัพย์คงมีแต่พยานแวดล้อมจ. พยานโจทก์คนหนึ่งซึ่งเบิกความว่าจำเลยได้นำของกลางมาขายให้จ. โดยบอกว่าผู้เสียหายให้เป็นค่าแรงก็ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดและจับของกลางได้จากจ. ซึ่งชั้นจับกุมให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ลักทรัพย์ด้วยตนเองและท. พยานโจทก์เองก็เบิกความว่าเห็นชายสองคนเข็นรถบรรทุกวงกบบานประตูไปจากบ้านที่เกิดเหตุโดยจำเลยไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยพยานโจทก์ทั้งสองปากนี้สอดคล้องกับคำเบิกความของจำเลยที่ว่าไม่ได้กระทำความผิดส. พยานโจทก์อีกปากเบิกความว่าเห็นจำเลยเข็นรถบรรทุกบานประตูของกลางในเวลากลางคืนซึ่งไฟฟ้ามีแสงสว่างเพียงลางๆไม่แน่นอนว่าจะเห็นคนร้ายและจำได้ว่าเป็นจำเลยและของกลางนั้นเป็นทรัพย์ของผู้เสียหายหรือไม่ส่วนว. ก็เป็นลูกจ้างจ. เบิกความขัดกับคำให้การรับสารภาพชั้นจับกุมของจ. สำหรับส. พยานโจทก์อีกปากหนึ่งก็ไม่ได้เป็นผู้เห็นเหตุการณ์คำพูดของสามีจำเลยก็ไม่ได้ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายลักทรัพย์พยานโจทก์ขัดกันและเลื่อนลอยจึงไม่มีน้ำหนักพอฟังลงโทษจำเลยได้
ย่อยาว
คดีนี้เดิมศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกับคดีหมายเลขแดงที่1117/2538 ของศาลชั้นต้นโดยเรียกจำเลยคดีนี้เป็นจำเลยที่ 1 และเรียกเด็กหญิงเบ็ญจา ครุธบึงพร้าว จำเลยในคดีหมายเลขแดงที่1117/2538 ดังกล่าว เป็นจำเลยที่ 2 แต่คดีดังกล่าวถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะคดีนี้เท่านั้นที่ขึ้นมาสู่การพิจารณาชั้นฎีกา
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามกฎหมายอาญา มาตรา 83,335(1)(3)(7) วรรคสาม, 336 ทวิ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 17,060 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 335(1)(3)(7) วรรคสาม จำคุก 1 ปี 6 เดือน ให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 17,060 บาท แก่ผู้เสียหายข้อหาอื่นให้ยก และยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ยุติในเบื้องต้นว่าที่เกิดเหตุตามฟ้องเป็นบ้านทาวเฮาส์ ห้องแรกในจำนวน 8 ห้องซึ่งผู้เสียหายเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง และอยู่ในระหว่างตกแต่งทาสีระหว่างวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายหลายคนร่วมกันลักทรัพย์บานประตูไม้สัก 10 บาน ราคา 17,000 บาท บานประตูไม้สักอัด 13 บาน ราคา 9,000 บาท และลูกกรงกลึงทำด้วยไม้16 อัน ราคา 500 บาท รวมราคา 26,500 บาท ซึ่งเป็นของผู้เสียหายที่เก็บไว้ในบ้านเกิดเหตุไป ต่อมาวันที่ 28 พฤศจิกายน 2536ผู้เสียหายพบว่าประตูด้านหลังบ้านเกิดเหตุมีรอยถูกงัด และทราบว่าทรัพย์ดังกล่าวถูกลักจึงไปแจ้งความต่อร้อยตำรวจเอกสมชาย ชำนิพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอหล่มสัก จำเลยเป็นลูกจ้างของผู้เสียหายเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2536และวันที่ 11 ธันวาคม 2536 เจ้าพนักงานตำรวจติดตามยึดบานประตูไม้สักอัด 13 บาน กับลูกกรงกลึงทำด้วยไม้ 13 อัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทรัพย์ที่ถูกลักไปดังกล่าวจากอู่ซ่อมรถยนต์ของนายจิงไววิไล คำแก้ว เป็นของกลาง ชั้นมอบตัวและชั้นสอบสวน จำเลยให้การปฏิเสธ คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยเป็นคนร้ายร่วมกระทำผิดตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาหรือไม่
ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า จำเลยกับพวกลักทรัพย์ตามฟ้องไปจากบ้านเกิดเหตุ เมื่อวันที่ 23, 25, 26, 27 และ 28 พฤศจิกายน 2536แล้วนำบานประตูไม้สักอัด 13 บาน กับลูกกรงกลึงทำด้วยไม้ 13 อันที่ยึดได้เป็นของกลางไปขายแก่นายจิงไว โดยอ้างต่อนายจิงไวว่าเป็นทรัพย์ที่ผู้เสียหายให้เป็นค่าจ้าง ต่อมาวันที่ 2 ธันวาคม2536 ผู้เสียหายทราบจากนายสมจิตร คำมี ว่าสามีจำเลยต่อว่าจำเลยว่าไม่น่าลักทรัพย์ของผู้เสียหาย รวมทั้งพฤติการณ์พิรุธของจำเลย ผู้เสียหายจึงไปแจ้งต่อพนักงานสอบสวนว่าจำเลยเป็นคนร้ายร่วมกระทำผิดคดีนี้
จำเลยนำสืบว่า จำเลยไม่เคยเกี่ยวข้องหรือนำของไปขายแก่นายจิงไว ตอนที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดของกลางได้จากอู่ซ่อมรถยนต์ของนายจิงไว นายจิงไวก็รับว่าตนเป็นผู้เอาของกลางนั้นมาเองไม่มีผู้อื่นยุ่งเกี่ยวด้วย
พิเคราะห์แล้ว ผู้เสียหายเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่าวันที่10 ธันวาคม 2536 ได้คุยกับนายจิงไว นายจิงไวบอกว่าจำเลยบรรทุกประตูจากทาวน์เฮาส์แล้วนำไปขายให้นายจิงไวบอกว่านายจ้างจำเลยมอบเป็นค่าแรง ผู้เสียหายบอกว่าไม่เคยมอบให้จำเลยวันรุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่ตำรวจไปค้นบ้านนายจิงไวยึดบานประตูและลูกกรง ตามเอกสารหมาย จ.1 และเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า คราวแรกผู้เสียหายแจ้งให้ดำเนินคดีกับนายจิงไวนายจิงไวชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้เสียหายประมาณ 20,000 บาทพร้อมทั้งคืนบานประตูให้ด้วย และเบิกความตอบทนายจำเลยขออนุญาตศาลถามว่ารายการทรัพย์ที่ถูกยึดตามบันทึกการจับกุมเป็นของผู้เสียหายตั้งแต่รายการที่ 1-21 ได้คืนทุกรายการแล้ว นายจิงไวคำแก้ว เบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า เห็นจำเลยกับเด็กหญิงเบ็ญจา ครุธบึงพร้าว ขนทรัพย์ของกลาง ต่อมาได้นำของกลางมาขายให้พยานโดยบอกว่าผู้เสียหายให้เป็นค่าแรง ต่อมานายจิงไวเล่าเรื่องให้ผู้เสียหายฟัง ผู้เสียหายนำเจ้าหน้าที่ตำรวจไปยึดของกลางพยานให้การว่า ไม่ทราบว่าเป็นทรัพย์ที่ได้จากการลักทรัพย์ผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดี และเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้าน ว่าไม่เคยติดต่อที่จะชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้เสียหาย ตามบันทึกการตรวจค้นเอกสารหมาย จ.1 จำนวน 22 รายการ พยานเข้าใจว่าเป็นของผู้เสียหาย และเบิกความตอบทนายจำเลยที่ 2 ถามค้านว่า ตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.1 เจ้าหน้าที่ตำรวจบันทึกข้อความว่าพยานให้การรับสารภาพข้อหาลักทรัพย์ นายวิชัย เพชรบูรณิน ลูกจ้างนายจิงไวเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า วันที่ 29 พฤศจิกายน 2536 จำเลยกับเด็กหญิงเบ็ญจานำไม้ของกลางไปขายให้นายจิงไวนายสมจิตร คำมีพยานโจทก์อีกปากหนึ่งเบิกความว่าได้แอบฟังจำเลยคุยกับนายจิตรสามีจำเลย นายจิตรพูดว่า “ทองมึงไม่น่าทำกับกูเลย กูอยู่ไม่ได้แล้ว จะต้องหนีเข้ากรุงเทพฯ”นายเสน่ห์ จันทร์สุริยะ พยานโจทก์เบิกความว่าวันที่ 28 พฤศจิกายน2536 เวลาประมาณ 19 นาฬิกา เห็นจำเลยเข็นรถบรรทุกไม้บานประตูไม่ได้ทันสังเกตว่าจะมีมากหรือไม่ และเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ตอนเห็นจำเลยไฟฟ้าริมถนนเปิดแล้วมีแสงสว่างเพียงลาง ๆ แต่จำจำเลยไม่ได้ว่าเป็นคนงานของผู้เสียหาย จำเลยใส่เสื้อสีดำ กางเกงสีอะไรจำไม่ได้นายทับทิม วัดบุญเลี้ยง พยานโจทก์เบิกความว่า เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2536 เวลาประมาณ 8 นาฬิกา เห็นชายสองคนเข็นรถบรรทุกวงกบบานประตู เห็นจำเลยนั่งอยู่ที่ทาวน์เฮาส์ห้องแรกต่อมาวันที่ 26 เดือนเดียวกันเห็นชายสองคนไม่ใช่คนเดียวกับที่เห็นคราวแรกยืนอยู่ที่ระเบียงชั้นบนทาวน์เฮาส์ห้องที่ 2 ส่งบานประตูไม้ลงมาข้างล่างเห็นจำเลยเก็บกวาดเศษของอยู่ที่ทาวน์เฮาส์ห้องที่ 2และเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ขณะเห็นคนขนบานประตูมีคนงานอื่นรวมอยู่ด้วยประมาณ 7-8 คน ส่วนสิบตำรวจโทชม สีนวลเบิกความเป็นพยานโจทก์ว่า ได้ร่วมกับพวกไปตรวจค้นบ้านนายจิงไวพบของกลางประมาณ 20 รายการ นายจิงไวให้การวกไปวนมาบางครั้งบอกว่ารับซื้อของกลางมาจากจำเลย บางครั้งก็สารภาพว่าเป็นผู้ลักบานประตูด้วยตนเอง จนไม่อาจจะบันทึกคำให้การไว้ได้และเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่านายจิงไวบอกว่าของกลางทั้งหมดนายจิงไวทะยอยเอามาหลายครั้ง จำเลยอ้างตนเองเบิกความเป็นพยานว่าไม่ได้กระทำความผิด เห็นว่าโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเห็นขณะคนร้ายลักทรัพย์ คงมีแต่พยานแวดล้อมโดยเฉพาะนายจิงไวพยานโจทก์คนหนึ่งก็ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดและจับของกลางได้จากนายจิงไว ชั้นจับกุมให้การรับสารภาพว่าเป็นผู้ลักทรัพย์ด้วยตนเอง นายทับทิมพยานโจทก์เองก็เบิกความว่าเห็นชายสองคนเข็นรถบรรทุกวงกบบานประตูไปจากบ้านที่เกิดเหตุโดยจำเลยไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย พยานโจทก์ทั้งสองปากนี้จึงสอดคล้องกับคำเบิกความของจำเลยที่ว่าไม่ได้กระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องนายเสน่ห์พยานโจทก์อีกปากเบิกความว่าเห็นจำเลยเข็นรถบรรทุกบานประตูของกลางในเวลากลางคืน ตอนเห็นไฟฟ้ามีแสงสว่างเพียงลาง ๆ จึงไม่แน่นอนว่าจะเห็นคนร้ายและจำได้ว่าเป็นจำเลยและของกลางนั้นเป็นทรัพย์ของผู้เสียหายหรือไม่ ส่วนนายวิชัยก็เป็นลูกจ้าง นายจิงไวเบิกความขัดกับคำให้การรับสารภาพชั้นจับกุมของนายจิงไวที่ว่าเป็นผู้ลักทรัพย์ของกลางด้วยตนเองจึงไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อ สำหรับนายสมจิตรพยานโจทก์อีกปากหนึ่งก็ไม่ได้เป็นผู้เห็นเหตุการณ์คำพูดของสามีจำเลยก็ไม่ได้ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายลักทรัพย์ พยานโจทก์จึงขัดกันและเลื่อนลอยอีกทั้งไม่ได้ยึดทรัพย์ของกลางได้จากจำเลย แม้นายจิงไวผู้มีทรัพย์ของกลางไว้ในครอบครองยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้นำมาขายให้แต่พยานปากนี้ขณะถูกจับก็รับว่าเป็นผู้ลักทรัพย์เอง ทั้งให้การวกวนเป็นข้อพิรุธจึงไม่มีน้ำหนักพอฟังลงโทษจำเลยได้ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน