คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6595/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

นอกจากจำเลยที่1จะเป็นทายาทของผู้ตายและเป็นมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของทายาทซึ่งเป็นผู้เยาว์ด้วยแล้วก็ยังเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายด้วยเมื่อจำเลยที่1ขายที่พิพาทไปในขอบอำนาจในฐานะผู้จัดการมรดกไม่ใช่ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรผู้เยาว์จึงเป็นเรื่องผู้จัดการมรดกขายทรัพย์มรดกซึ่งจะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1574มาใช้บังคับไม่ได้นิติกรรมขายที่พิพาทจึงไม่เป็นโมฆะ เมื่อจำเลยที่1และที่2ยอมโอนที่พิพาทกลับมาเป็นทรัพย์มรดกตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความแม้จะยังไม่ได้โอนใส่ชื่อจำเลยที่1ในฐานะผู้จัดการมรดกถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดก็ถือว่าที่พิพาทเป็นทรัพย์มรดกอยู่ในอำนาจหน้าที่ของผู้จัดการมรดกที่จะต้องจัดการแบ่งปันแก่ทายาทด้วยโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากทายาทจำเลยที่1ย่อมมีอำนาจโอนขายที่พิพาทให้แก่จำเลยที่3

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายสุรชัยจูฑาวัฒนานนท์ ผู้ตาย ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 17160 ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทและที่ดินโฉนดเลขที่ 6971อันเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายให้แก่จำเลยที่ 2 โดยมิได้แบ่งปันให้แก่ทายาทอื่นตามกฎหมาย โจทก์ในฐานะทายาทของผู้ตาย จึงฟ้องจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ขอให้เพิกถอนนิติกรรมโอนที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าว ต่อมาโจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยที่ 2 ยอมโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นทั้งสองแปลงกลับมาเป็นของจำเลยที่ 1 ภายใน 30 วัน นับแต่วันทำสัญญาและศาลได้พิพากษาตามยอมแต่จำเลยที่ 1 และที่ 2มิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยจำเลยที่ 1 ในฐานะส่วนตัว ในฐานะผู้ปกครองเด็กหญิงวิไลลักษณ์ จูฑาวัฒนานนท์ กับพวกและในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายกับจำเลยที่ 2 สมคบ กับจำเลยที่ 3 นำที่ดินพิพาทขายให้แก่จำเลยที่ 3 โดยไม่มีสิทธิที่จะทำได้ เพราะโจทก์ไม่ได้ให้ความเห็นชอบ การกระทำของจำเลยทั้งสามทำให้โจทก์เสียเปรียบ โจทก์จึงอยู่ในฐานะอันจะจดทะเบียนสิทธิได้ก่อนทั้งการที่จำเลยที่ 1 ในฐานะ ผู้ปกครองของเด็กหญิงวิไลลักษณ์กับพวกซึ่งเป็นผู้เยาว์ ทำนิติกรรมขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 3 โดยมิได้รับอนุญาตจากศาล ย่อมทำให้นิติกรรมดังกล่าวตกเป็นโมฆะ ขอให้มีคำสั่งเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทและให้จำเลยทั้งสามโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตาย หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า ทายาทของผู้ตายได้ประชุมกันและมีมติให้ขายที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ซื้อโดยตรง มิต้องให้จำเลยที่ 2จัดการโอนใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ก่อนในการประชุมครั้งดังกล่าวโจทก์ทราบแล้วแต่ไม่ยอมเข้าร่วมประชุม ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3 โดยให้จำเลยที่ 2 จดทะเบียนโอนให้แก่จำเลยที่ 3 โดยตรง การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นการกระทำโดยสุจริต ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง โจทก์มิได้เป็นทายาทของผู้ตาย จำเลยที่ 3 ซื้อที่ดินพิพาทโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์เป็นมารดาของผู้ตาย จำเลยที่ 1 เป็นภริยาและเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย จำเลยที่ 2 เป็นบุตรจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 ได้โอนที่ดินพิพาทตามโฉนดเลขที่ 17160 แขวงบางโคล่(บางขวาง) เขตยานนาวา (บางรัก) กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายให้แก่จำเลยที่ 2 โดยมิได้แบ่งปันให้ทายาทคนอื่น ผู้ตายมีทายาททั้งหมด 9 คน โดยเป็นผู้เยาว์ 3 คน โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1และที่ 2 ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนการโอนที่ดินพิพาทดังกล่าวกลับมาเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย ในระหว่างพิจารณาเมื่อวันที่ 13มิถุนายน 2533 โจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยอมโอนที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 1เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในฐานะผู้จัดการมรดก เพื่อให้จำเลยที่ 1จัดการมรดกให้เป็นไปตามกฎหมาย หากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1และที่ 2 ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความและออกคำบังคับแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 แล้ว ตามคดีหมายเลขแดงที่ 9420/2533 ของศาลชั้นต้น ต่อมาวันที่ 7 กรกฎาคม2533 จำเลยที่ 1 ได้เรียกประชุมทายาทครั้งแรก เพื่อปรึกษาในการจัดการมรดกตามเอกสารหมาย จ.4 ต่อมาวันที่ 26 พฤศจิกายน 2533จำเลยที่ 2 โดยความยินยอมของจำเลยที่ 1 ได้โอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3
ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินพิพาทในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของทายาทซึ่งเป็นบุตรผู้เยาว์ ไม่ใช่ในฐานะผู้จัดการมรดกนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทจึงตกเป็นโมฆะนั้น นอกจากจำเลยที่ 1จะเป็นทายาทและเป็นมารดาผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กหญิงวิไลลักษณ์นางสาวทัศนีย์ และนางสาวสุมาลี ทายาทซึ่งเป็นผู้เยาว์แล้วจำเลยที่ 1 ยังเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายด้วย ก่อนจำเลยที่ 1จะขายที่ดินพิพาท จำเลยที่ 1 ได้เรียกประชุมทายาทเพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับการจัดการมรดกโดยมีจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกและในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ทั้ง 3 คน และมีทายาทอื่นรวมทั้งนายหาญ ผู้แทนของโจทก์ร่วมประชุมปรึกษาหารือในครั้งนี้ด้วย ตามระเบียบวาระที่ 1 เรื่องที่ประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบ วาระที่สอง บัญชีทรัพย์มรดก และวาระที่ 3 การจัดการมรดกโดยที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ ให้ผู้จัดการมรดกดำเนินการนำที่ดินพิพาทจัดการหาผลประโยชน์เข้ามากองมรดกต่อไป ตามเอกสารหมาย จ.4หลังจากมีการขายที่ดินพิพาทแล้ว จำเลยที่ 1 ก็ได้แบ่งปันเงินที่ได้ให้แก่ทายาทตามส่วน ตามเอกสารหมาย ล.12 โดยส่วนของโจทก์จำเลยที่ 1 ฝากธนาคารไว้ ตามเอกสารหมาย ล.11 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ขายที่ดินพิพาทไปในขอบเขตอำนาจของจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดก ไม่ใช่ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของบุตรผู้เยาว์ แต่เป็นเรื่องผู้จัดการมรดกขายทรัพย์มรดกซึ่งจะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1574 มาใช้บังคับไม่ได้นิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทไม่เป็นโมฆะ
ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทกลับมาเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกถือกรรมสิทธิ์ในโฉนด ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3นั้น เห็นว่า คำพิพากษานั้นย่อมผูกพันคู่ความในคดี เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยอมโอนที่ดินพิพาทกลับมาเป็นทรัพย์มรดก แม้จะยังไม่ได้โอนใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดนั้นก็ตามก็ถือได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกตกอยู่ในอำนาจหน้าที่ของผู้จัดการมรดกที่จะต้องจัดการแบ่งปันแก่ทายาทด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1719 โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากทายาท จำเลยที่ 1 มีอำนาจโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 3”
พิพากษายืน

Share