คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6430/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ดำเนินกิจการให้เช่ารถยนต์แก่บุคคลทั่วไปใช้ชื่อว่าจูนคาร์เรนท์ จำเลยประกอบกิจการให้เช่ารถยนต์แก่บุคคลทั่วไปเช่นกันด. ขอเช่ารถยนต์จากจำเลยแต่จำเลยไม่มีรถยนต์จึงนำรถยนต์พิพาทไปจากโจทก์ไปให้ด.เช่าเป็นเวลา7วันโดยได้รับประโยชน์จากส่วนต่างของค่าเช่าเช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยได้รับประโยชน์จากรถยนต์พิพาทชั่วระยะเวลาอันมีจำกัดและจำเลยได้ตกลงให้ค่าเช่าเพื่อการที่เอารถยนต์พิพาทไปแล้วการกระทำของจำเลยจึงเป็นการเช่าทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา537แล้วและการเช่าสังหาริมทรัพย์กฎหมายมิได้บัญญัติว่าจำต้องทำหลักฐานเป็นหนังสือจึงสามารถตกลงกันด้วยวาจาได้การกระทำของจำเลยจึงเป็นการเช่ารถยนต์พิพาทไปจากโจทก์หาใช่เป็นเพียงตัวแทนของร้านจูนคาร์เรนท์เพราะถ้าหากจำเลยเป็นตัวแทนแล้วจำเลยจะต้องนำเงินที่ได้รับมามอบให้แก่โจทก์ทั้งหมดไม่มีสิทธิหักเงินบางส่วนเอาไว้ก่อน

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสองฟ้องว่า โจทก์ทั้งสอง และนายชลัท เกียรติธารัยเข้าหุ้นส่วนประกอบกิจการร้านจูน คาร์เรนท์ มีวัตถุประสงค์ในการให้เช่ารถยนต์จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการเมื่อปลายเดือนธันวาคม 2533จำเลยทั้งสองทำสัญญาเช่ารถยนต์ยี่ห้อซูซูกิ คาริบเบี้ยนหมายเลขทะเบียน ค-1431 เชียงใหม่ จากร้านจูน คาร์เรนท์ในอัตราค่าเช่าวันละ 500 บาท โดยยอมรับผิดในความเสียหายทีเกิดแก่รถยนต์ที่เช่า จำเลยทั้งสองได้รับรถยนต์ไปในวันทำสัญญาและนำไปให้บุคคลอื่นเช่าอีกต่อหนึ่ง ต่อมารถยนต์ที่เช่าสูญหายโจทก์ทั้งสองและนายชลัททวงถามให้จำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์คืนแต่จำเลยทั้งสองกลับเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน 309,410 บาท และให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายในอัตราวันละ800 บาท หรือเดือนละ 24,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์คืนหรือใช้ราคาเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ทั้งสองไม่ใช่หุ้นส่วนในร้านจูน คาร์เรนท์ โจทก์ที่ 1 เป็นเพียงผู้เช่าซื้อรถยนต์พิพาทและโจทก์ที่ 2 เป็นเพียงผู้ค้ำประกัน โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองไม่เคยเช่ารถยนต์พิพาทจากร้านจูน คาร์เรนท์ จำเลยทั้งสองเป็นตัวแทนของโจทก์ที่ 1 ในการนำรถยนต์พิพาทออกให้บุคคลอื่นเช่าโดยมีค่าตอบแทน จึงไม่ต้องรับผิดในการที่รถยนต์พิพาทสูญหาย โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ ทั้ง สอง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าคืนโจทก์ทั้งสองในสภาพเรียบร้อย หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนจำนวนเงิน 309,410 บาท และให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายเดือนละ 24,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์หรือใช้ราคาเสร็จ
จำเลย ทั้ง สอง ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามที่คู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งคัดค้านว่า โจทก์ทั้งสองและนายชลัท เกียรติธารัยเป็นหุ้นส่วนดำเนินกิจการให้เช่ารถยนต์และรถจักรยานยนต์แก่บุคคลทั่วไปใช้ชื่อว่าจูน คาร์เรนท์ จำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ประกอบกิจการให้เช่ารถยนต์แก่บุคคลทั่วไปเช่นกัน เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2533นายเดวิด อี ฮิลเดร็ท ขอเช่ารถยนต์จากจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1ไม่มีรถยนต์จึงติดต่อกับนายชลัท นายชลัทนำรถยนต์พิพาทมาให้นายเดวิดเช่าตามเอกสารหมาย จ.5 และ จ.6 ต่อมาปรากฏว่ารถยนต์ที่นายเดวิดเช่าไปจากจำเลยที่ 1 สูญหายคดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการเช่ารถยนต์พิพาทจากโจทก์ทั้งสองหรือไม่ โจทก์ทั้งสองมีนายชลัท เกียรติธารัย เบิกความว่า โจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสองต่างมีกิจการให้เช่ารถยนต์และรถจักรยานยนต์เมื่อเดือนธันวาคม 2533 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ได้มาเช่ารถยนต์พิพาทไปจากพยาน คิดค่าเช่าวันละ 500 บาท แต่ไม่ได้ทำสัญญาเช่า จำเลยที่ 2 นำรถยนต์พิพาทไปให้นายเดวิดเช่าช่วงตามเอกสารหมาย จ.5 และ จ.6 จำเลยที่ 2 นำสืบว่าเนื่องจากโจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 1 ประกอบอาชีพให้เช่ารถยนต์เหมือนกัน หากจำเลยที่ 1 มีรถยนต์ไม่พอให้เช่าก็จะนำรถยนต์จากร้านโจทก์ทั้งสองไปให้ลูกค้าเช่าหากโจทก์ทั้งสองมีรถยนต์ไม่พอให้เช่าก็จะนำรถยนต์จากจำเลยที่ 1 ไปให้ลูกค้าเช่าโดยมีข้อตกลงกันว่า ต้องชำระเงินให้เจ้าของรถยนต์ในอัตราวันละ700 บาท เงินส่วนที่เกินกว่า 700 บาท ตกเป็นของผู้ที่นำรถยนต์ไปให้เช่า จำเลยที่ 2 ได้นำรถยนต์พิพาทของโจทก์ทั้งสองไปให้นายเดวิดเช่าในอัตราวันละ 800 บาท ตามสัญญาเช่าเอกสารหมายจ.5 และ จ.6 และนางวัลยาภรรยาจำเลยที่ 2เบิกความว่า ได้รับเงินค่าเช่าจากนายเดวิดแล้วได้นำไปมอบให้นางลักขณาภรรยานายชลัทหุ้นส่วนของโจทก์ทั้งสองจำนวน4,800 บาท ตามเอกสารหมาย ล.1 ซึ่งตรงกับข้อนำสืบของโจทก์ทั้งสองว่าได้รับชำระค่าเช่าแล้วเห็นว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 537 บัญญัติว่า “อันว่าเช่าทรัพย์สินนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้เช่าตกลงให้บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้เช่าได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ในทรัพย์สินอย่างใดอย่างหนึ่งชั่วระยะเวลาอันมีจำกัดและผู้เช่าตกลงจะให้ค่าเช่าเพื่อการนั้น” ดังนั้น การที่จำเลยทั้งสองนำรถยนต์พิพาทไปจากโจทก์ทั้งสองและนำไปให้นายเดวิดเช่าเป็นเวลา 7 วัน ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองได้รับประโยชน์จากรถยนต์พิพาทชั่วระยะเวลาอันมีจำกัดและจำเลยทั้งสองได้ตกลงให้ค่าเช่าเพื่อการที่เอารถยนต์พิพาทไปแล้วการกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการเช่าทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 537แล้ว และการเช่าสังหาริมทรัพย์กฎหมายมิได้บัญญัติว่า จำต้องทำหลักฐานเป็นหนังสือ จึงสามารถตกลงกันด้วยวาจาได้การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นการเช่ารถยนต์พิพาทไปจากโจทก์ทั้งสองหาใช่เป็นเพียงตัวแทนของร้านจูน คาร์เรนท์เพราะถ้าหากจำเลยทั้งสองเป็นตัวแทนแล้วจำเลยทั้งสองจะต้องนำเงินที่ได้รับมามอบให้แก่โจทก์ทั้งสองทั้งหมดไม่มีสิทธิหักเงินบางส่วนเอาไว้ก่อน ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาชอบแล้วฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ภาค 2 กำหนดค่าเสียหายให้จำเลยทั้งสองชำระแก่โจทก์ทั้งสองเดือนละ 24,000 บาท นั้นสูงเกินไปเพราะโจทก์ทั้งสองไม่สามารถที่จะนำรถยนต์พิพาทออกให้บุคคลอื่นเช่าในอัตราวันละ 800 บาท ติดต่อกันทุกวันตลอดไปเห็นว่า โจทก์ทั้งสองนำรถยนต์พิพาทให้จำเลยทั้งสองเช่าคิดค่าเช่าในอัตราวันละ 500 บาท เท่านั้น และโจทก์ทั้งสองก็คงไม่สามารถที่จะนำรถยนต์พิพาทออกให้บุคคลอื่นเช่าทุกวันจึงเห็นควรกำหนดค่าเสียหายที่จำเลยทั้งสองจะต้องใช้ให้โจทก์ทั้งสองในส่วนนี้ในอัตราเดือนละ 15,000 บาท
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายเดือนละ 15,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์หรือใช้ราคาเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

Share