คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5383/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่2ไปรับโอนมรดกแต่ผู้เดียวและนำที่ดินทรัพย์มรดกซึ่งตกได้แก่โจทก์ทั้งสามและจ.ด้วยไปโอนให้แก่จำเลยที่1ซึ่งไม่ใช่ทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกจึงเป็นการยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกเท่าส่วนที่ตนจะได้หรือมากกว่าจำเลยที่2จึงถูกกำจัดมิให้รับมรดกเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1605ส่วนจำเลยที่1ไม่ใช่ทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกการกระทำของจำเลยที่1จึงไม่เป็นการยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกตามบทกฎหมายดังกล่าว จำเลยที่1รับโอนที่ดินจากจำเลยที่2โดยทราบว่าโจทก์ทั้งสามและจ.เป็นทายาทมีสิทธิรับมรดกจึงเป็นการรับโอนโดยไม่สุจริตจำเลยที่3ถึงที่5เป็นบุตรของจำเลยที่1มีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมโดยการยกให้โดยเสน่หาของจำเลยที่1จึงเป็นการโอนโดยไม่มีค่าตอบแทนโจทก์ทั้งสามจึงมีสิทธิขอให้เพิกถอนการโอนดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1300 จำเลยที่3ถึงที่5ขายที่ดินให้จำเลยที่6หลังจากโจทก์ที่3ได้อายัดที่ดินไว้ต่อเจ้าพนักงานที่ดินโดยกรรมการของจำเลยที่6ทราบเรื่องแล้วถือว่าจำเลยที่6รับโอนโดยไม่สุจริตโจทก์ทั้งสามจึงมีสิทธิให้เพิกถอนการโอนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1300ได้เช่นกัน ผู้ที่จะยกอายุความขึ้นต่อสู้ได้ก็แต่บุคคลซึ่งเป็นทายาทหรือบุคคลซึ่งชอบที่จะใช้สิทธิของทายาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1755จำเลยที่1และที่3ถึงที่5ไม่ใช่ทายาทหรือผู้จัดการมรดกทั้งจำเลยที่2ถูกกำจัดมิให้รับมรดกจำเลยที่2จึงไม่อยู่ในฐานะทายาทการที่จำเลยที่1รับโอนที่ดินจากจำเลยที่2แล้วให้จำเลยที่3ถึงที่5ถือกรรมสิทธิ์รวมจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่1และที่3ถึงที่5เป็นบุคคลซึ่งชอบจะใช้สิทธิของทายาทจึงไม่มีสิทธิยกอายุความมรดกขึ้นต่อสู้โจทก์ทั้งสาม

ย่อยาว

คดีสองสำนวน ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาพิพากษา โดยเรียกโจทก์ในสำนวนแรกว่า โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 2 กับเรียกโจทก์ในสำนวนหลังว่าโจทก์ที่ 3
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องทั้งสองสำนวนทำนองเดียวกันว่าโจทก์ทั้งสามเป็นบุตรนายชั้นกับนางสงัด สุดใจแจ่มหรือพุ่มลัดจำเลยที่ 1 เป็นพี่ชายนางสงัด จำเลยที่ 2 เป็นบุตรนางสงัดซึ่งเกิดกับสามีคนก่อน จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 เป็นบุตรจำเลยที่ 1ส่วนจำเลยที่ 6 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดเดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 1096 เนื้อที่ 8 ไร่ 80 ตารางวาเป็นของนางจวง สุดใจแจ่มต่อมาได้ยกให้นางสงัดและจำเลยที่ 1 คนละครึ่ง นายสงัดถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2502 เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม2502 จำเลยที่ 2 ทำหนังสือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 รับโอนมรดกของนางสงัดโดยให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่า นางสงัดมีบุตรเพียงจำเลยที่ 2 คนเดียว เจ้าพนักงานที่ดินได้จดทะเบียนโอนมรดกเฉพาะส่วนให้จำเลยที่ 2 แล้วยกให้แก่จำเลยที่ 1 โดยไม่สุจริตซึ่งจำเลยที่ 1 ทราบดีว่าที่ดินส่วนนั้นจะต้องตกแก่โจทก์ทั้งสามและนางจวงคนละ 3 งาน 28 ตารางวา การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นการร่วมกันปิดบังยักย้ายทรัพย์มรดกมากกว่าส่วนที่ตนจะได้รับโดยฉ้อฉล และรู้อยู่ว่าตนทำให้เสื่อมประโยชน์ของทายาทอื่น จำเลยที่ 2 จึงต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกเลย ที่ดินส่วนของจำเลยที่ 2 จึงตกได้แก่ทายาทที่เหลือคนละ 82 ตารางวา ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนให้จำเลยที่ 3ถึงที่ 5 ถือกรรมสิทธิ์รวมโดยเสน่หาแล้วไปขอรังวัดแบ่งแยกในนามเดิมเป็น 8 แปลง จากนั้นโอนขายให้จำเลยที่ 6 โดยทราบว่าโจทก์ขออายัดที่ดินแล้ว ภายหลังทางราชการได้ออกโฉนดให้แก่จำเลยที่ 6เป็น 8 โฉนด คือโฉนดเดิมและโฉนดเลขที่ 65881 ถึง 65887 แล้วจำเลยที่ 6 ได้นำที่ดินทั้งหมดดังกล่าวไปจำนองกับธนาคารกสิกรไทยจำกัด ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนรับโอนมรดกของจำเลยที่ 2 และกำจัดมิให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 รับมรดกเลย กับให้เพิกถอนการให้ระหว่างจำเลยที่ 2 กับที่ 1 ให้เพิกถอนนิติกรรมที่จำเลยที่ 1ยอมให้จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ถือกรรมสิทธิ์รวม ให้เพิกถอนการซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 5 กับจำเลยที่ 6 ให้จำเลยทั้งหกไปจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดิน ให้จำเลยทั้งหกโอนที่ดินดังกล่าวคืนแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 คนละ 1 ไร่ 10 ตารางวาแก่โจทก์ที่ 3 เนื้อที่ 3 งาน 28 ตารางวา หากไม่สามารถไถ่ถอนจำนองและโอนได้ให้จำเลยทั้งหกใช้ราคาที่ดินแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2 คนละ 2,050,000 บาท แก่โจทก์ที่ 3 เป็นเงิน 1,640,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 5 ให้การทั้งสองสำนวนเป็นทำนองเดียวกันว่า นางสงัดได้นำที่ดินส่วนของตนไปจำนองกับนายสละธูปกล่ำ ต่อมานางสงัดถึงแก่กรรม ขณะนั้นบุตรนางสงัดคงมีเพียงจำเลยที่ 2 คนเดียวที่บรรลุนิติภาวะ เมื่อนายสละทวงถามนายจวงและจำเลยที่ 2 ไม่มีเงินชำระหนี้ จึงตกลงให้จำเลยที่ 1รับซื้อไว้เป็นเงิน 26,000 บาท แล้วจำเลยที่ 2 ได้มอบให้จำเลยที่ 1 ไปจัดการโอนที่ดิน โจทก์ทั้งสามไม่ใช่สิทธิภายใน 1 ปีหลังจากแต่ละคนมีอายุครบ 20 ปี คดีจึงขาดอายุความและโจทก์ทั้งสามไม่เคยบอกกล่าวขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การทั้งสองสำนวนทำนองเดียวกันว่า นางสงัดนำที่ดินส่วนของตนไปจำนองกับนายสละ ธูปกล่ำ นางสงัดถึงแก่กรรมขณะจำเลยที่ 2 บวช หลังจากสึกแล้วจำเลยที่ 2 ถูกเจ้าหน้าที่จับไปคุมขังที่เรือนจำคลองเปรมข้อหาอันธพาธ ระหว่างนั้นจำเลยที่ 1 ไปบอกว่านายสละให้ไถ่ถอนจำนอง จำเลยที่ 2 ไม่มีเงินจำเลยที่ 1 จึงบอกให้จำเลยที่ 2 ไปรับโอนมรดกของนางสงัดร่วมกับโจทก์ทั้งสามแล้วจำเลยที่ 1 กับนางจวงจะได้ช่วยไถ่ถอนจำนองให้ แต่จำเลยที่ 2 จะต้องยกที่ดินส่วนของจำเลยที่ 2เนื้อที่ 3 งาน 28 ตารางวา ให้จำเลยที่ 1 เป็นการตอบแทน จำเลยที่ 2 เห็นด้วยจึงได้เซ็นชื่อในใบมอบอำนาจที่ยังไม่กรอกข้อความให้จำเลยที่ 1 ไป จำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ฉ้อฉลโจทก์ทั้งสาม ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 6 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ ทั้ง สาม อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนรับมรดกของจำเลยที่ 2 และเพิกถอนการให้ระหว่างจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 1เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2502 ในโฉนดที่ดินเลขที่ 1096ตำบลบ้านไทร (แขวงบางระมาด) อำเภอตลิ่งชัน กรุงเทพมหานครเฉพาะส่วนของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 เนื้อที่ 2 ไร่ 20 ตารางวาเฉพาะส่วนของโจทก์ที่ 3 เนื้อที่ 3 งาน 28 ตารางวา ให้เพิกถอนนิติกรรมที่จำเลยที่ 1 ยอมให้จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินดังกล่าว เฉพาะส่วนของโจทก์ที่ 1 และเนื้อที่2 ไร่ 20 ตารางวา เฉพาะส่วนของโจทก์ที่ 3 เนื้อที่ 3 งาน28 ตารางวา ให้เพิกถอนการซื้อขายระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 3ถึงที่ 5 กับจำเลยที่ 6 ในโฉนดที่ดินดังกล่าว เฉพาะส่วนของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 เนื้อที่ 2 ไร่ 20 ตารางวา เฉพาะส่วนของโจทก์ที่ 3 เนื้อที่ 3 งาน 28 ตารางวา ให้จำเลยทั้งหกไปจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนของโจทก์ที่ 1และที่ 2 เนื้อที่ 2 ไร่ 20 ตารางวา เฉพาะส่วนของโจทก์ที่ 3เนื้อที่ 3 งาน 28 ตารางวา ให้จำเลยทั้งหกโอนที่ดินดังกล่าวคืนโจทก์ที่ 1 และที่ 2 คนละ 1 ไร่ 10 ตารางวา แก่โจทก์ที่ 3เนื้อที่ 3 งาน 28 ตารางวา หากไม่สามารถไถ่ถอนจำนองและโอนได้ให้จำเลยทั้งหกร่วมกันใช้ราคาที่ดินแก่โจทก์ที่ 1 และที่ 2คนละ 2,050,000 บาท แก่โจทก์ที่ 3 เป็นเงิน 1,640,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 และที่ 3 ถึงที่ 5 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยที่ 2 ไปรับโอนมรดกแต่ผู้เดียวและนำที่ดินทรัพย์มรดกซึ่งตกได้แก่โจทก์ทั้งสามและนางจวงด้วยไปโอนให้แก่จำเลยที่ 1 ซึ่งไม่ใช่ทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกจึงเป็นการยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกเท่าส่วนที่ตนจะได้หรือมากกว่า จำเลยที่ 2 จึงถูกกำจัดมิให้รับมรดกเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1605 ส่วนจำเลยที่ 1 ไม่ใช่ทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกของนางสงัด การกระทำของจำเลยที่ 1จึงไม่เป็นการยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดก แต่เมื่อจำเลยที่ 1รับโอนที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 2 โอนทราบว่าโจทก์ทั้งสามและนางจวงเป็นทายาทมีสิทธิรับมรดกด้วย จึงเป็นการรับโอนโดยไม่สุจริต จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 เป็นบุตรของจำเลยที่ 1 มีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมโดยการยกให้โดยเสน่หาของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการโอนโดยไม่มีค่าตอบแทน โจทก์ทั้งสามจึงมีสิทธิขอให้เพิกถอนการโอนดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300นอกจากนี้การที่จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 6หลังจากโจทก์ที่ 3 ได้อายัดที่พิพาทไว้ต่อเจ้าพนักงานที่ดินแล้วตามทางนำสืบของโจทก์ที่ 3 ว่าได้แจ้งให้นายไชยาซึ่งเป็นกรรมการของจำเลยที่ 6 ทราบแล้วมีน้ำหนักให้รับฟังน่าเชื่อว่าขณะทำการโอนแม้จะล่วงเลยระยะเวลา 60 วัน ที่เจ้าพนักงานที่ดินรับอายัดไว้ เจ้าพนักงานที่ดินก็น่าจะแจ้งเรื่องอายัดให้จำเลยที่ 6 ทราบด้วย ถือได้ว่าจำเลยที่ 6 รับโอนโดยไม่สุจริตโจทก์ทั้งสามจึงมีสิทธิให้เพิกถอนการโอนตามบทกฎหมายดังกล่าวได้เช่นกัน และวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายต่อไปว่า ผู้ที่จะยกอายุความมรดกขึ้นต่อสู้ได้ก็แต่บุคคลซึ่งเป็นทายาทหรือบุคคลซึ่งชอบที่จะใช้สิทธิของทายาทหรือผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1755 เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1และที่ 3 ถึงที่ 5 ไม่ใช่ทายาทหรือผู้จัดการมรดก ทั้งจำเลยที่ 2ถูกกำจัดมิให้รับมรดก จำเลยที่ 2 จึงไม่อยู่ในฐานะทายาท การที่จำเลยที่ 1 รับโอนที่ดินจากจำเลยที่ 2 แล้วให้จำเลยที่ 3 ถึงที่ 3 ถือกรรมสิทธิ์รวม จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3ถึงที่ 5 เป็นบุคคลซึ่งชอบที่จะใช้สิทธิของทายาท ดังนั้นจำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงไม่มีสิทธิยกอายุความมรดกขึ้นต่อสู้โจทก์ทั้งสามซึ่งเป็นทายาผู้มีสิทธิรับมรดก
พิพากษายืน

Share