แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำละเมิดโดยทำลายและปิดกั้นทางสาธารณประโยชน์ทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้ทางสาธารณะดังกล่าวเข้าไปทำไร่อ้อยในที่ดินของโจทก์ได้ขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน50,000บาทจึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์การที่ศาลชั้นต้นพิจารณาประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยปิดกั้นและทำลายทางสาธารณประโยชน์เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่ซึ่งจะต้องมีการพิจารณาว่ามีทางสาธารณประโยชน์อยู่ตามฟ้องหรือไม่นั้นก็เพื่อวินิจฉัยข้ออ้างอันจะนำไปสู่ข้อหาของโจทก์ที่ว่าจำเลยกระทำการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่เท่านั้นโจทก์หาได้ฟ้องขอให้มีการปลดเปลื้องทุกข์ของโจทก์ในการใช้ทางพิพาทแต่ประการใดดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน20,000บาทแก่โจทก์จำเลยอุทธรณ์ว่าไม่มีทางสาธารณประโยชน์ตามที่โจทก์กล่าวอ้างจึงเป็นการอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา224วรรคหนึ่งที่ศาลอุทธรณ์ภาค2วินิจฉัยว่าเป็นคดีที่ฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้แล้วมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์และพิจารณาพิพากษาคดีไปตามอุทธรณ์ของจำเลยนั้นเป็นการไม่ชอบต้องถือว่าข้อเท็จจริงยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน เนื้อที่10 ไร่ 3 งาน 10 ตารางวา โดยปลูกอ้อยเป็นประจำทุกปีมีรายได้ปีละไม่ต่ำกว่า 50,000 บาท การทำไร่อ้อยจะต้องใช้ทางสาธารณะผ่านเข้าออกไร่อ้อยของโจทก์ด้วย ต่อมาจำเลยได้ทำลายและปิดกั้นทางสาธารณะเสีย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่สามารถเข้าไปทำไร่อ้อยได้ ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน50,000 บาท
จำเลยให้การว่า ที่ดินของจำเลยไม่มีทางสาธารณะ จำเลยใช้ปลูกอ้อยและพืชผัก โจทก์สามารถเข้าออกที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันตกของที่ดินของโจทก์ได้และปัจจุบันโจทก์ก็ใช้เส้นทางดังกล่าวออกไปสู่ทางสาธารณประโยชน์ ที่ดินของโจทก์ไม่เหมาะสำหรับปลูกอ้อยและมีเนื้อที่เพียง 10 ไร่เศษ หากใช้ทำไร่อ้อยรายได้ของโจทก์สุทธิต่อปีประมาณ 6,000-8,000 บาทเท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 20,000 บาทแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยฐานละเมิดโดยจำเลยกระทำการทำลายและปิดกั้นทางสาธารณประโยชน์ ทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้ทางสาธารณะดังกล่าวเข้าไปทำไร่อ้อยในที่ดินของโจทก์ได้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวน 50,000 บาทท้ายฟ้องโจทก์ขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน50,000 บาท จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ การที่ศาลชั้นต้นพิจารณาประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยปิดกั้นและทำลายทางสาธารณประโยชน์เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายหรือไม่ ซึ่งจะต้องมีการพิจารณาว่ามีทางสาธารณประโยชน์อยู่ตามฟ้องหรือไม่นั้น ก็เพื่อวินิจฉัยข้ออ้างอันจะนำไปสู่ข้อหาของโจทก์ที่ว่า จำเลยกระทำการละเมิดต่อโจทก์หรือไม่เท่านั้น โจทก์หาได้ฟ้องขอให้มีการปลดเปลื้องทุกข์ของโจทก์ในการใช้ทางพิพาทแต่ประการใด เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 20,000 บาท แก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ว่าไม่มีทางสาธารณประโยชน์ตามที่โจทก์กล่าวอ้างอันเป็นการอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าเป็นคดีที่ฟ้องขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้แล้วมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์และพิจารณาพิพากษาคดีไปตามอุทธรณ์ของจำเลยนั้นเป็นการไม่ชอบ เมื่ออุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามตามกฎหมายแล้ว ต้องถือว่าข้อเท็จจริงยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยจึงไม่มีสิทธิฎีกา การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยมานั้น จึงไม่ชอบเช่นกัน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 และยกฎีกาของจำเลยคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดในชั้นฎีกาให้แก่จำเลย