แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้จำเลยที่ได้ให้การต่อสู้คดีว่าโจทก์ไม่เคยบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แต่เมื่อคดีนี้มีการชี้สองสถานและศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดประเด็นข้อนี้ไว้เป็นประเด็นข้อพิพาทโดยโจทก์และจำเลยต่างไม่โต้แย้งคัดค้านเช่นนี้จึงถือได้ว่าคดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทในเรื่องนี้ระหว่างคู่ความการที่ศาลชั้นต้นหยิบยกประเด็นข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยยกฟ้องโจทก์เป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาและประเด็นข้อพิพาทข้อนี้เป็นคนละประเด็นกับที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ว่าจำเลยต้องชำระหนี้ให้โจทก์หรือไม่เพียงใด โจทก์ได้แจ้งต่อศาลตลอดมาว่าเอกสารต่างๆตามที่จำเลยอ้างมานั้นมีจำนวนมากยังค้นไม่พบต่อมาโจทก์ได้ส่งเอกสารตามคำสั่งเรียกมาให้เป็นบางส่วนแสดงให้เห็นว่าโจทก์ยังค้นหาเอกสารไม่พบจริงไม่มีเจตนาจะบิดพลิ้วไม่ส่งเอกสารแต่อย่างใดกรณีเช่นนี้จำเลยย่อมสามารถนำสืบสำเนาเอกสารหรือพยานบุคคลได้ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา93(2)กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา123ที่จะถือว่าโจทก์ยอมรับข้อเท็จจริงตามเอกสารนั้นแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนเงินจำนวน 1,188,842.46 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 1,140,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และค่าขาดประโยชน์ในอัตราร้อยละ 8.5 ต่อปี ในต้นเงิน 1,140,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์มีงบประมาณค่าใช้จ่ายเช่นค่ารับรองค่าพาหนะและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ รวมทั้งค่าใช้จ่ายเดินทางไปต่างประเทศให้แก่กรรมการทุกคนทุกปี ค่าใช้จ่ายดังกล่าวกรรมการจะทดรองจ่ายไปก่อนแล้วนำหลักฐานมาหักบัญชีในภายหลัง หรือจะเบิกเงินทดรองจ่ายไปก่อนแล้วนำหลักฐานมาหักบัญชีในภายหลังก็ได้ เงินทดรองจ่ายตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 ถึง 5 จำเลยได้ใช้จ่ายไปในกิจการของโจทก์และได้นำหลักฐานการจ่ายเงินมอบให้เจ้าหน้าที่ของโจทก์เพื่อหักบัญชีครบถ้วนแล้ว คงเหลือเงินทดรองจ่ายตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6 จำนวน 500,000 บาท ที่จำเลยยังไม่ได้นำหลักฐานการใช้จ่ายมาหักบัญชีให้ครบถ้วน หนี้ดังกล่าวไม่มีกำหนดเวลาชำระคืน โจทก์ไม่เคยทวงถามจึงไม่มีอำนาจฟ้องและไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยและค่าขาดประโยชน์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยชำระเงินจำนวน 681,156.50 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (31 กรกฎาคม 2534) เป็นต้นไปจนกว่าจำชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยเคยเป็นประธานกรรมการของโจทก์ ระหว่างที่จำเลยเป็นประธานกรรมการของโจทก์จำเลยได้ยืมเงินทดรองจ่ายในกิจการของโจทก์ รวม 4 ครั้งเป็นเงิน 1,140,000 บาท จำเลยนำหลักฐานการใช้จ่ายเงินมาหักจากยอดเงินดังกล่าวแล้วบางส่วน คงมีหนี้ที่จำเลยไม่ได้นำหลักฐานมาหักบัญชีอยู่อีกเป็นเงิน 681,156.50 บาท มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาในข้อแรกว่า การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยต้องชำระเงินให้โจทก์ตามฟ้องหรือไม่เพียงใดนั้น น่าจะหมายความรวมถึงข้อต่อสู้ของจำเลยในคำให้การที่ว่าหนี้ตามฟ้องเป็นหนี้ที่ไม่ได้กำหนดเวลาชำระแน่นอน โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวทวงถาม โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องด้วยนั้น เห็นว่า แม้จำเลยจะได้ให้การต่อสู้คดีว่าโจทก์ไม่เคยบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ แต่เมื่อคดีนี้มีการชี้สองสถานและศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดประเด็นข้อนี้ไว้เป็นประเด็นข้อพิพาท โดยโจทก์และจำเลยต่างไม่โต้แย้งคัดค้านเช่นนี้ จึงถือได้ว่าคดีไม่มีประเด็นข้อพิพาทในเรื่องนี้ระหว่างคู่ความ การที่ศาลชั้นต้นหยิบยกประเด็นข้อนี้ขึ้นวินิจฉัยยกฟ้องโจทก์เป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาและประเด็นข้อพิพาทข้อนี้เป็นคนละประเด็นกับที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ว่า จำเลยต้องชำระหนี้ให้โจทก์หรือไม่เพียงใด ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าไม่มีประเด็นข้อพิพาทข้อนี้อีก จึงชอบแล้ว
ที่จำเลยฎีกาว่า ระหว่างพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น จำเลยขอให้โจทก์ส่งเอกสารซึ่งอยู่ในครอบครองของโจทก์ ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งเรียกเอกสารต่าง ๆ ตามคำขอของจำเลยแล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมส่งเอกสารต่าง ๆ ตามคำสั่งเรียกถือว่าโจทก์ได้ยอมรับว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามเอกสารเหล่านั้น แล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 123นั้น เห็นว่า โจทก์ได้แจ้งต่อศาลตลอดมาว่าเอกสารต่าง ๆ ตามที่จำเลยอ้างมานั้นมีจำนวนมากยังค้นหาไม่พบ ต่อมาโจทก์ได้ส่งมอบเอกสารตามคำสั่งเรียกมาให้เป็นบางส่วน ดังนี้แสดงให้เห็นว่า โจทก์ยังค้นหาเอกสารไม่พบจริง ไม่มีเจตนาจะบิดพลิ้วไม่ส่งเอกสารแต่อย่างใด กรณีเช่นนี้จำเลยย่อมสามารถนำสืบสำเนาเอกสารหรือพยานบุคคลได้ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2) กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 123 ที่จะถือว่าโจทก์ยอมรับข้อเท็จจริงตามเอกสารนั้นแล้ว
พิพากษายืน