คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4887/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ส่งหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยที่2ตามภูมิลำเนาสองครั้งแต่ไม่สามารถส่งได้โดยได้รับแจ้งว่าจำเลยที่2ไปทำงานต่างจังหวัดและย้ายไม่ทราบที่อยู่ใหม่โจทก์จึงบอกกล่าวบังคับจำนองโดยประกาศทางหนังสือพิมพ์เพื่อให้มีผลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา728ถือว่าคำประกาศหนังสือพิมพ์เป็นค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับจำนองโจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยที่2

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองแก่โจทก์เป็นเงิน 5,002,227.32 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปีของต้นเงิน 2,666,990.38 บาทตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปีของต้นเงิน 357,805.13 บาท ตามสัญญาขายลดตั๋วเงินกับสัญญาสินเชื่อเพื่อส่งออก และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน14,122 บาท ในหนี้ค่าประกาศหนังสือพิมพ์และค่าเบี้ยประกันภัยนับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ หากขายทอดตลาดทรัพย์จำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ให้โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองในฐานะผู้ค้ำประกันร่วมกับบริษัทเอมที ไบโอ เคมิคัล โปรดักส์ จำกัด ชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจำนวน 1,770,302.53 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี สำหรับจำเลยที่ 1 ให้คิดตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน2529 จำเลยที่ 2 นับแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2528 จนกว่าจะชำระเสร็จให้จำเลยที่ 1 ร่วมกับบริษัทเอมที ไบโอ เคมีคัล โปรดักส์จำกัด ชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกันหนี้สัญญาขายลดตั๋วเงินจำนวน89,051.47 บาท นับแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จ(ดอกเบี้ยก่อนฟ้องไม่เกิน 102,170 บาท) หากไม่ชำระหนี้และหรือบริษัทเอมที ไบโด เคมิคัล โปรดักส์ จำกัด ไม่ชำระหนี้ทั้งสามประเภทดังกล่าวแล้ว ให้ยึดทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหลักประกันหนี้ทั้งสามประเภทออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้เพื่อต้นเงินจำนวน 900,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยทบต้นอัตราร้อยละ17.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2527 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2528หลังจากนั้นคิดดอกเบี้ยแบบธรรมดาอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2529 จนกว่าชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 2 รับผิดชำระเงินค่าเบี้ยประกันภัยพร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องจำนวน15,717.32 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงินจำนวน 13,722 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชี โดยคิดดอกเบี้ยในอัตราตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย แต่ไม่เกินอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปีหากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ครบถ้วนให้บังคับจำนองโดยนำทรัพย์จำนองของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระเฉพาะในส่วนของตนที่จะต้องรับผิด หากยังชำระหนี้เฉพาะในส่วนของตนไม่ครบก็ให้บังคับคดีเอากับทรัพย์สินอื่นของจำเลยแต่ละคนตามส่วนที่ตนจะต้องรับผิดได้ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในประการแรกว่า หนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วเงินซึ่งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า ตามสัญญาค้ำประกันการขายลดตั๋วเงินที่จำเลยที่ 1 ได้ทำไว้กับโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.40 ข้อ 1. วรรคสองระบุว่า “ผู้ค้ำประกันยอมเข้าค้ำประกันการชำระหนี้อันเกิดจากการขายลดตั๋วเงินดังกล่าวข้างต้นทุกฉบับต่อธนาคารรวมเป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 200,000 บาท กับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17.4 ต่อปีของจำนวนเงินที่ค้างชำระทั้งหมดนับแต่วันผิดนัดจนกว่าธนาคารจะได้รับชำระหนี้โดยสิ้นเชิง” เมื่อโจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาระบุความรับผิดของจำเลยที่ 1 โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว จำเลยที่ 1จำต้องรับผิดต่อโจทก์ในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี ตามเนื้อความในสัญญาเอกสารหมาย จ.40 แต่ในคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์กลับพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ร่วมกับบริษัทเอมที ไบโอ เคมิคัล โปรดักส์จำกัด ชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกันหนี้ขายลดตั๋วเงินจำนวน89,051.47 บาท นับแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2529 จนกว่าจะชำระเสร็จ(ดอกเบี้ยก่อนวันฟ้องไม่เกินจำนวน 102,170 บาท) โดยไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยว่า จำเลยที่ 1 จะต้องชำระหนี้แก่โจทก์ในเงินต้นดังกล่าวในอัตราดอกเบี้ยร้อยละเท่าใด เป็นการชอบหรือไม่ในข้อนี้เห็นว่า ในเมื่อฟังว่าจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดในดอกเบี้ยแล้วแต่ไม่ได้กำหนดให้จำเลยที่ 1 ต้องชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราตามที่วินิจฉัยได้นั้นเป็นการไม่ชอบจึงชอบที่ศาลฎีกาจะแก้ไขให้ถูกต้องต่อไปฎีกาโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในประการต่อไปว่าโจทก์มีสิทธิเรียกค่าประกาศหนังสือพิมพ์แจ้งการบังคับจำนองไปยังจำเลยที่ 2 เป็นจำนวนเงิน 400 บาท พร้อมดอกเบี้ยจากจำเลยที่ 2หรือไม่ ในข้อนี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 728บัญญัติไว้ว่า การบังคับจำนองผู้รับจำนองต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ก่อนว่าให้ชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควร ถ้าและลูกหนี้ละเลยเสียไม่ปฎิบัติตามคำขอดังกล่าว ผู้รับจำนองจะฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้พิพากษาสั่งให้ยึดทรัพย์สินซึ่งจำนองให้ขายทอดตลาดก็ได้และมาตรา 715(3) บัญญัติว่า ทรัพย์สินซึ่งจำนองย่อมเป็นประกันเพื่อการชำระหนี้กับทั้งค่าอุปกรณ์ต่อไปนี้ด้วยคือ ค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับจำนอง ในข้อนี้ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์ได้ส่งหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนองไปยังจำเลยที่ 2 ตามภูมิลำเนาที่อยู่ของจำเลยที่ 2 สองครั้ง แต่ไม่สามารถส่งได้โดยได้รับแจ้งว่า จำเลยที่ 2ไปทำงานต่างจังหวัด และย้ายไม่ทราบที่อยู่ใหม่โจทก์จึงบอกกล่าวการบังคับจำนองโดยประกาศทางหนังสือพิมพ์เพื่อให้มีผลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 728 ดังกล่าว ฉะนั้นค่าประกาศหนังสือพิมพ์จึงถือได้ว่าเป็นค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับจำนอง โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องค่าประกาศหนังสือพิมพ์ 400 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากจำเลยที่ 2 ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าประกาศหนังสือพิมพ์เพราะไม่ใช่ความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การที่จำเลยที่สองไม่ชำระหนี้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์นั้นข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ร่วมกับบริษัทเอมที ไบโอ เคมิคัล โปรดักส์ จำกัด ชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกันหนี้สัญญาขายลดตั๋วเงินจำนวน 89,051.47 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 7 มิถุนายน2529 จนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าประกาศหนังสือพิมพ์จำนวน 507.26 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี ของจำนวนเงิน 400 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share