คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4478/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่จำเลยทั้งสามเบิกความว่าเจ้าของกรรมสิทธิ์เดิมในที่ดินต่างมีการแบ่งแยกการครอบครองเป็นส่วนสัดส่วนของน.ก. และอ. อยู่ทางทิศตะวันตกเนื้อที่รวม8ไร่น.ก.และอ. ถึงแก่ความตายไปประมาณ10ปีแล้วก่อนถึงแก่ความตายบุคคลทั้งสามยกที่ดินให้แก่จำเลยทั้งสามโดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือเพียงแต่มอบโฉนดที่ดินให้แก่จำเลยทั้งสามหลังจากนั้นจำเลยทั้งสามได้ทำนาในที่ดินตลอดมาโดยการครอบครองด้วยความสงบเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลา10ปีเศษไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านั้นหากศาลเชื่อว่าเป็นความจริงดังที่จำเลยทั้งสามเบิกความย่อมเป็นเหตุให้ศาลสั่งแสดงว่าที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสามผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382ความเท็จที่จำเลยทั้งสามเบิกความจึงเป็นข้อสำคัญในคดีที่ร้องขอให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินการกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา177วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177, 180,90, 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลย ทั้ง สาม ให้การ ปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคแรก จำคุกคนละ 1 ปี และปรับ3,000 บาท โทษจำคุกให้รอไว้ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ถ้าไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30
โจทก์และจำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาจำเลยทั้งสามมีว่าคำเบิกความของจำเลยทั้งสามในคดีที่จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์เป็นข้อสำคัญในคดีดังกล่าวหรือไม่ เมื่อคดีนี้เป็นคดีที่ฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย การวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงว่า เดิมนายนุด นายกวาง นายอุย นางอุ้ย พลจันทร์ นายมุ่ง ธรรมมานางลำใย สาวสุดชาติ และนางแป้น นาคเจริญ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 4763 ตำบลห้วยไผ่อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี เนื้อที่ประมาณ 18 ไร่ โจทก์เป็นบุตรนายเชื่อม ธรรมมา นายเชื่อมเป็นบุตรนายจุ้ม นายจุ้มเป็นบุตรนายอุย เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2532 จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1324/2532ขอให้สั่งแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนของนายนุดนายกวาง และนายอุย ภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายคำร้องขอเนื้อที่ 8 ไร่ เป็นของจำเลยทั้งสามโดยการครอบครองปรปักษ์ ศาลมีคำสั่งให้ไต่สวนคำร้องขอนั้น ต่อมาเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2532จำเลยทั้งสามต่างอ้างตนเองเป็นพยานในการไต่สวนคำร้องขอโดยเบิกความทำนองเดียวกันว่า เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินต่างแบ่งแยกการครอบครองที่ดินดังกล่าวเป็นส่วนสัด ส่วนของนายนุด นายกวางและนายอุยอยู่ทางด้านทิศตะวันตก เนื้อที่รวม 8 ไร่ ส่วนที่เหลือเป็นของบุคคลอื่น นายนุด นายกวาง และนายอุยถึงแก่ความตายไปประมาณ 10 กว่าปีแล้ว ก่อนตายบุคคลทั้งสามยกที่ดินส่วนดังกล่าวให้แก่จำเลยทั้งสามโดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือ เพียงแต่มอบโฉนดที่ดินให้แก่จำเลยทั้งสาม หลังจากนั้นจำเลยทั้งสามได้ทำนาในที่ดินดังกล่าวตลอดมาโดยการครอบครองที่ดินด้วยความสงบเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลา 10 ปีเศษ ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านในวันเดียวกันศาลมีคำสั่งว่า ที่ดินบางส่วนตามโฉนดที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนของนายนุด นายกวาง และนายอุย เนื้อที่ 8 ไร่ตามเส้นสีแดงในแผนที่สังเขปท้ายคำร้องขอให้ศาลสั่งว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสามด้วยการครอบครองปรปักษ์ คำเบิกความของจำเลยทั้งสามดังกล่าวเป็นความเท็จ ซึ่งความจริงที่ดินดังกล่าวหาใช่ของนายนุด นายกวาง และนายอุยร่วมกันและจำเลยทั้งสามหาได้เข้าครอบครองต่อมาแต่ประการใดไม่ นายนุด นายกวาง และนายอุยถึงแก่กรรมตายไปประมาณ 40 ถึง 50 ปีแล้ว และไม่ได้ยกที่ดินให้แก่จำเลยทั้งสาม โจทก์ซึ่งเป็นบุตรของนายเชื่อมและเป็นทายาทผู้รับมรดกของนายอุยเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม และได้ครอบครองที่ดินเดิมได้รับความเสียหายไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น ปัญหาว่าข้อความเท็จที่จำเลยทั้งสามเบิกความดังกล่าวเป็นข้อสำคัญในคดีหรือไม่นั้น เห็นว่า ในคดีมีข้อพิพาท ความเท็จที่จะถือเป็นข้อสำคัญในคดีจะต้องเป็นความเท็จที่อาจทำให้คู่ความต้องแพ้ชนะกันในประเด็นแห่งคดี หรือในคดีไม่มีข้อพิพาท ความเท็จนั้นจะต้องเป็นความเท็จที่อาจทำให้ศาลเชื่อและสั่งให้ตามคำร้องขอ ซึ่งการที่ศาลจะวินิจฉัยชี้ขาดและมีคำสั่งว่าที่ดินตามคำร้องขอเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่นั้นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์และระยะเวลาแห่งการครอบครองย่อมเป็นข้อสำคัญในคดี การที่จำเลยทั้งสามเบิกความว่าเจ้าของกรรมสิทธิ์เดิมในที่ดินดังกล่าวต่างมีการแบ่งแยกการครอบครองเป็นส่วนสัด ส่วนของนายนุด นายกวาง และนายอุยอยู่ทางทิศตะวันตกเนื้อที่รวม 8 ไร่ นายนุด นายกวาง และนายอุยถึงแก่ความตายไปประมาณ 10 ปีแล้ว ก่อนถึงแก่ความตาย บุคคลทั้งสามแยกที่ดินส่วนดังกล่าวให้แก่จำเลยทั้งสามโดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือ เพียงแต่มอบโฉนดที่ดินให้แก่จำเลยทั้งสาม หลังจากนั้นจำเลยทั้งสามได้ทำนาในที่ดินดังกล่าวตลอดมาโดยการครอบครองด้วยความสงบเปิดเผย และด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลา 10 ปีเศษ ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน ดังนี้ หากศาลเชื่อว่าเป็นความจริงดังที่จำเลยทั้งสามเบิกความต่อศาล ย่อมเป็นเหตุให้ศาลสั่งแสดงว่าที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสามผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ความเท็จที่จำเลยทั้งสามเบิกความดังกล่าวจึงเป็นข้อสำคัญในคดีที่จำเลยทั้งสามร้องขอให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นการเบิกความอันเป็นเท็จซึ่งเป็นข้อสำคัญในคดีในการพิจารณาคดีต่อศาลอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177 วรรคหนึ่ง”
พิพากษายืน

Share