แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่1เป็นมารดาของจำเลยที่2จำเลยที่1ได้เคยขายบ้านซึ่งจำเลยที่2มีส่วนร่วมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อยู่ด้วยแม้จำเลยที่2จะเบิกความว่าไม่ได้รู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่1ขายบ้านดังกล่าวแต่เมื่อจำเลยที่2ทราบเรื่องขายบ้านแล้วก็มิได้ดำเนินการใดๆถือเป็นการยอมรับการจัดการของจำเลยที่1และในการจัดการดูแลรวมทั้งการขายที่ดินพิพาทจำเลยที่2ก็ปล่อยให้เป็นภาระการจัดการของจำเลยที่1โดยลำพังพฤติการณ์ของจำเลยที่2เช่นนี้เป็นการแสดงออกที่มีผลให้ผู้อื่นที่เกี่ยวข้องเข้าใจและรับรู้ถึงอำนาจการจัดการของจำเลยที่1เป็นการเชิดจำเลยที่1ให้กระทำการแทนจำเลยที่2โดยออกหน้าเสมือนเป็นตัวการแม้ในสัญญาซื้อขายที่ดินจะมิได้ระบุว่าจำเลยที่1ได้กระทำไปในฐานะตัวแทนจำเลยที่2ก็ตามแต่จากพฤติการณ์ที่จำเลยที่1และที่2ปฏิบัติแสดงออกดังกล่าวย่อมก่อให้เกิดความเข้าใจว่าจำเลยที่1ทำการแทนจำเลยที่2โดยออกหน้าเป็นตัวการตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา806นอกจากนี้ยังได้ความว่าจำเลยที่2ลงชื่อสลักหลังเช็คพิพาทที่ได้รับจากโจทก์และมอบให้จำเลยที่1รับเงินตามเช็คไปแสดงชัดว่าเป็นการยอมรับผลแห่งสัญญาซื้อขายที่ดินที่จำเลยที่1เป็นผู้กระทำการแทนโดยออกหน้าเป็นตัวการถือได้ว่าจำเลยที่2เป็นตัวการที่มิได้เปิดเผยชื่อนั้นได้กลับแสดงตนให้ปรากฎและเข้ารับเอาสัญญาที่ตัวแทนได้ทำแทนตนนั้นแล้วทั้งยังมีผลเป็นการให้สัตยาบันแก่การกระทำของจำเลยที่1อีกด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา823จำเลยที่2จึงต้องผูกพันตามสัญญาซื้อขายที่ดิน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ในฐานะส่วนตัวและในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 เชิดจำเลยที่ 1ออกแสดงเป็นตัวแทน และรู้อยู่แล้วยอมให้จำเลยที่ 1 แสดงเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 ตกลงทำสัญญาซื้อขายที่ดินเนื้อที่ประมาณ72 ไร่ ราคา 340,000 บาท กับโจทก์และโจทก์ได้ชำระราคาที่ดินบางส่วนให้จำเลยทั้งสองแล้วในวันทำสัญญา ที่เหลือจะผ่อนชำระเป็นงวดมีกำหนด 3 ปี นับแต่วันทำสัญญา เมื่อครบกำหนดชำระราคาที่ดินงวดสุดท้ายจำเลยทั้งสองไม่ยอมรับชำระและไม่ยอมโอนที่ดินให้แก่โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองโอนที่ดินให้แก่โจทก์หากจำเลยทั้งสองไม่ยอมไปจดทะเบียนให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง กับให้จำเลยทั้งสองรับเงินค่าที่ดิน125,000 บาท จากโจทก์ในวันโอนทางทะเบียน
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ไม่ได้เชิดจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนในการทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาท จำเลยที่ 1 ไม่เคยนำที่ดินของจำเลยที่ 2 มาขายให้แก่โจทก์และโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา เพราะเมื่อถึงกำหนดวันโอนสิทธิครอบครองที่ดินและชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือ โจทก์ไม่มารับโอนและชำระราคาส่วนที่เหลือให้จำเลยที่ 1 ถือว่าสัญญาเป็นอันยกเลิกขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยข้อแรกตามประเด็นที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 เชิดจำเลยที่ 1เป็นตัวแทนในการขายที่ดินตามสัญญาซื้อขายที่ดินเอกสารหมาย จ.1หรือไม่ ข้อเท็จจริงปรากฎตามที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่า จำเลยที่ 1เป็นมารดาของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 ได้เคยขายบ้านให้แก่โจทก์ไปแล้วก่อนหน้าจะเกิดเหตุคดีนี้ บ้านที่จำเลยที่ 1 ขายดังกล่าวความจริงจำเลยที่ 2 มีส่วนร่วมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ด้วยแม้จำเลยที่ 2 จะเบิกความว่าไม่ได้รู้เห็นยินยอมให้จำเลยที่ 1ขายบ้านดังกล่าวให้แก่โจทก์ก็ตาม แต่จำเลยที่ 2 ได้ทราบเรื่องขายบ้านเมื่อปี 2527 แล้วแต่ก็มิได้ดำเนินการใด ๆ เป็นการยอมรับการจัดการของจำเลยที่ 1 และในการจัดการดูแลรวมทั้งการขายที่ดินพิพาท จำเลยที่ 2 ก็ปล่อยให้เป็นภาระการจัดการของจำเลยที่ 1โดยลำพัง พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวนี้เป็นการแสดงออกที่มีผลให้ผู้อื่นที่เกี่ยวข้องเข้าใจและรับรู้ถึงอำนาจการจัดการของจำเลยที่ 1 เป็นการเชิดจำเลยที่ 1 ให้กระทำการแทนจำเลยที่ 2โดยออกหน้าเสมือนเป็นตัวการ ตามสัญญาซื้อขายที่ดินเอกสารหมาย จ.1ระบุชัดเจนถึงจำนวนที่ดินที่ขายรวม 72 ไร่ ซึ่งเป็นจำนวนที่ดินทั้งหมดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 รวมกัน ดังนี้ แม้จะมิได้มีการระบุว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำไปในฐานะตัวแทนจำเลยที่ 2 ด้วยก็ตามแต่จากพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ปฏิบัติแสดงออกดังกล่าวมาข้างต้นย่อมก่อให้เกิดความเข้าใจว่าจำเลยที่ 1 ทำการแทนจำเลยที่ 2 โดยออกหน้าเป็นตัวการตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 806 นอกจากนี้แล้วข้อเท็จจริงปรากฎว่าการจ่ายเงินรวม 2 งวด ตามสัญญาซื้อขายที่ดินเอกสารหมาย จ.1สามีจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับเงินจากโจทก์ไปเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามเช็คเอกสารหมาย จ.5 ระบุชื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับเงินซึ่งจำเลยที่ 2 ก็นำสืบยอมรับว่าได้ลงชื่อสลักหลังเช็คดังกล่าวได้ให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับเงินไปจริง และเป็นระยะเวลาที่จำเลยที่ 2 ได้ทราบเรื่องที่จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินเอกสารหมาย จ.1 ขายที่ดินพิพาทของตนให้โจทก์แล้ว การที่จำเลยที่ 2ลงชื่อสลักหลังเช็คและมอบให้จำเลยที่ 1 รับเงินตามเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.5 ไป แสดงชัดว่าเป็นการยอมรับผลแห่งสัญญาซื้อขายที่ดินเอกสารหมาย จ.1 ที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำการแทนโดยออกหน้าเป็นตัวการ ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการที่มิได้เปิดเผยชื่อนั้นได้กลับแสดงตนให้ปรากฎและเข้ารับเอาสัญญาที่ตัวแทนได้ทำแทนตนนั้นแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าจำเลยที่ 2จะได้รู้เห็นในการกระทำของจำเลยที่ 1 แล้วแต่แรกหรือไม่ก็ตามที่จำเลยที่ 2 ยอมลงชื่อสลักหลังเช็คและให้จำเลยที่ 1 รับเงินค่าที่ดินตามสัญญาซื้อขายที่ดินเอกสารหมาย จ.1 ดังกล่าวย่อมมีผลเป็นการให้สัตยาบันแก่การกระทำของจำเลยที่ 1 ตามสัญญาซื้อขายที่ดินเอกสารหมาย จ.1 ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 823 ด้วยอีกสถานะหนึ่ง ดังนี้ จำเลยที่ 2 ย่อมต้องผูกพันตามสัญญาซื้อขายที่ดินเอกสารหมาย จ.1 ตามที่โจทก์ฟ้องที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าไม่ผูกพันจำเลยที่ 2 นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น ดังนั้นจำเลยที่ 2ย่อมมีภาระต้องโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามสัญญาซื้อขายที่ดินเอกสารหมาย จ.1 และจากข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยที่ 2 นำนำสืบรับตรงกันว่า โจทก์ได้พยายามติดต่อจะชำระเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือและขอรับโอนที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 และที่ 2หลายครั้งหลายหนแล้ว จำเลยที่ 2 เป็นฝ่ายปฏิเสธไม่ยอมโอนที่ดินพิพาทให้ คงยืนยันแต่เพียงจะโอนที่ดินเฉพาะส่วนที่มีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือสิทธิเท่านั้น เป็นการปฏิบัติการชำระหนี้ที่ไม่ถูกต้องตามสัญญาซื้อขายที่ดินเอกสารหมาย จ.1 จำเลยที่ 1และที่ 2 จึงเป็นฝ่ายผิดนัดผิดสัญญาที่ศาลล่างทั้งสองฟังว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จดทะเบียนโอนที่ดินตามน.ส.3 ก. เลขที่ 612 เล่ม 7 ก. เนื้อที่ 4 ไร่ 2 งาน 10 ตารางวาและ 27 ไร่ 2 งาน 67 ตารางวา กับที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 44,363, 364 และ 336 เนื้อที่ 6 ไร่ 2 งาน 52 ตารางวา, 1 งาน66 ตารางวา, 20 ไร่ 3 งาน 19 ตารางวา และ 7 ไร่ 2 งาน ตามลำดับซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลเกาะพะงันอำเภอเกาะพะงันจังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้แก่โจทก์ และรับเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือ125,000 บาท จากโจทก์ในวันจดทะเบียนโอน ไม่ปฏิบัติตามให้ถือคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนจำเลยทั้งสอง