คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4175/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์อยู่ในฐานะผู้ที่จะได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทซึ่งอาจจะต้องเสี่ยงภัยเสียสิทธิในการรับโอนหากปล่อยให้จำเลยเจ้าหนี้จำนองบังคับคดีโดยการขายทอดตลาดโจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะเข้าใช้หนี้จำเลยแทนผู้จำนองได้ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา230 หนี้จำนองย่อมครอบไปถึงบรรดาทรัพย์สินที่จำนองทุกสิ่งแม้จะได้ชำระหนี้ไปแล้วบางส่วนตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา716แม้จะมีการไถ่ถอนทรัพย์สินซึ่งจำนองไปบางส่วนแล้วก็ตามทรัพย์สินจำนองที่เหลืออยู่จะต้องเป็นประกันการชำระหนี้ทั้งจำนวนตามสิทธิของสัญญาจำนองเมื่อได้ความว่าหนี้จำนองที่บริษัทส.มีต่อจำเลยจำนวน5,396,629.37บาทแต่มีที่พิพาทเป็นทรัพย์จำนองเพียงแปลงเดียวโจทก์ผู้รับโอนที่พิพาทจึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับจำเลยรับชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองเพียงจำนวน386,784.60บาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 47279เนื้อที่ 60 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้าง บ้านเลขที่ 17/24 ตามคำพิพากษาของศาลแพ่ง และจำเลยคดีนี้เป็นผู้รับจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวไว้ โจทก์ขอไถ่ถอนจำนองไปยังจำเลยแล้ว แต่จำเลยไม่ยอมรับ ขอให้บังคับจำเลยรับเงินค่าไถ่ถอนจำนวน352,981 บาท จากโจทก์และให้ดำเนินการจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฎิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า บริษัทสยามอินเตอร์แลนด์จำกัด จดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวไว้แก่จำเลยก่อนทำสัญญาจะซื้อจะขายกับโจทก์ ต่อมาศาลแพ่งมีคำพิพากษาให้จำเลยบังคับจำนองที่ดินแปลงพิพาทได้ขณะนี้อยู่ระหว่างบังคับคดีซึ่งยังมีหนี้ค้างชำระอยู่อีกจำนวน 5,396,629.37 บาท จำเลยมีสิทธิบังคับจำนองจากทรัพย์จำนอง นำเงินที่ได้มาชำระจนกว่าจะครบถ้วนและบริษัทสยามอินเตอร์แลนด์ จำกัด ผู้จำนองเดิมเท่านั้นเป็นผู้มีสิทธิจะขอไถ่ถอนจำนองได้ โดยต้องชำระหนี้ที่ค้างจนครบถ้วนก่อน โจทก์ไม่มีสิทธิขอไถ่ถอนจำนอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยไปรับจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 47279 พร้อมสิ่งปลูกสร้างบ้านเลขที่ 17/24ตำบลตลาดบางเขน (บางเขน) อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานครจากโจทก์โดยมีเงื่อนไขให้โจทก์ชำระเงินจำนวน 386,784.60 บาทให้จำเลยก่อน หากโจทก์ชำระเงินแล้ว จำเลยไม่ยอมรับหรือไม่ยอมไปรับจดทะเบียนไถ่ถอนจำนอง ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ตามฎีกาของจำเลยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยให้รับไถ่ถอนจำนองตามจำนวนเงินที่โจทก์เสนอหรือไม่พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 14657/2526 ของศาลแพ่งซึ่งจำเลยในคดีนี้ได้เป็นโจทก์ฟ้องบังคับยึดทรัพย์จำนองรวมถึงทรัพย์พิพาทในคดีนี้ให้บริษัทสยามอินเตอร์แลนด์ จำกัด ชำระหนี้จำนองโดยการขายทอดตลาดรวมทั้งทรัพย์พิพาทตามที่บริษัทสยามอินเตอร์แลนด์ จำกัดเป็นลูกหนี้อยู่ ดังนั้น เมื่อโจทก์อยู่ในฐานะที่จะเป็นผู้ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทที่อาจจะต้องเสี่ยงภัยเสียสิทธิในการที่จะได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาท หากปล่อยให้จำเลยบังคับคดีโดยการขายทอดตลาด โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะเข้าใช้หนี้ให้จำเลยแทนบริษัทสยามอินเตอร์แลนด์ จำกัดได้ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 230 แต่สิทธิดังกล่าวของโจทก์จะเป็นการใช้หนี้แทนเป็นจำนวนเท่าใดนั้น เห็นว่า หนี้จำนองย่อมครอบไปถึงบรรดาทรัพย์สินซึ่งจำนองหมดทุกสิ่ง แม้จะได้ชำระหนี้ไปแล้วบางส่วนตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 716 และแม้ว่าทรัพย์สินซึ่งจำนองจะแบ่งออกเป็นหลายส่วนก็ตาม จำนองก็ยังคงครอบไปถึงส่วนเหล่านั้นทุกส่วนอยู่ด้วยกันอยู่นั่นเองตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 717 วรรคแรก ดังนั้นแม้ว่าจะมีการไถ่ถอนทรัพย์สินซึ่งจำนองไปบางส่วนแล้วก็ตามทรัพย์สินซึ่งจำนองทั้งหมดที่เหลืออยู่ก็จะต้องเป็นประกันการชำระหนี้ตามสิทธิของสัญญาจำนองของเงินจำนวนทั้งหมดที่ค้างอยู่ด้วยเหตุดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าหนี้จำนองที่บริษัทสยามอินเตอร์แลนด์ จำกัด มีต่อจำเลยในคดีนี้ยังมีเหลืออยู่อีกจำนวน 5,396,629.37 บาท แต่มีทรัพย์จำนองเป็นประกันในการชำระหนี้คือที่ดินพิพาทแปลงนี้เหลืออยู่เพียงแปลงเดียว การที่จะบังคับให้จำเลยรับชำระหนี้ไถ่ถอนจำนอง จึงต้องเป็นการชำระหนี้ทั้งหมดที่บริษัทสยามอินเตอร์แลนด์ จำกัด เป็นหนี้จำเลยอยู่ คือจำนวน5,396,629.37 บาท โจทก์จะบังคับให้จำเลยรับชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองเพียงจำนวน 386,784.60 บาท ตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองหาได้ไม่ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยรับไถ่ถอนจากโจทก์ต่ำกว่าหนี้ที่บริษัทจำเลยเป็นเจ้าหนี้อยู่ ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา”
พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้องโจทก์

Share