แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กรณีที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาผู้ยึดทรัพย์สินสละสิทธิในการบังคับคดีหรือเพิกเฉยไม่ดำเนินการบังคับคดีภายในเวลาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา295ทวิบัญญัติให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้ศาลสั่งถอนการบังคับคดีนั้นเสียส่วนมาตรา290วรรคแปดบัญญัติให้ผู้ขอเฉลี่ยทรัพย์ตามวรรคแรกมีสิทธิขอให้ดำเนินการบังคับคดีต่อไปเมื่อใจความทั้งสองมาตราหาได้กำหนดไว้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีกับผู้ขอเฉลี่ยทรัพย์จะต้องร้องขอภายในกำหนดเวลาหรือเงื่อนไขอย่างไรศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่2กุมภาพันธ์2536ให้ถอนการบังคับคดีจึงย่อมมีผลโดยตรงเฉพาะโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่ขอให้ศาลบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา271โดยไม่อาจบังคับคดีต่อไปได้เท่านั้นแต่ไม่กระทบถึงสิทธิของผู้ร้องทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่ได้ยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์เมื่อวันที่4และ5สิงหาคม2524ตามลำดับโดยชอบที่จะดำเนินการบังคับคดีต่อไปเพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ร้องทั้งสองซึ่งจำต้องร้องขอเฉลี่ยทรัพย์เพราะไม่อาจยึดหรืออายัดทรัพย์สินซ้ำตามมาตรา290วรรคแรกได้ เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหมายนัดเมื่อวันที่25มีนาคม2536ถึงผู้ร้องทั้งสองแจ้งว่าถ้าหากประสงค์จะสวมสิทธิบังคับคดีแทนโจทก์ให้แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายใน7วันผู้ร้องทั้งสองได้แถลงแจ้งความประสงค์ในวันดังกล่าวแล้วแม้จะกระทำในเวลาภายหลังที่ศาลมีคำสั่งให้ถอนการบังคับคดีก็ย่อมมีผลให้ผู้ร้องทั้งสองสามารถดำเนินการบังคับคดีต่อไปโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา290วรรคแปดโดยไม่จำต้องให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตอีก
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนข้าวสารจำนวน 150 กระสอบ แก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาเป็นเงิน62,400 บาท พร้อมดอกเบี้ย ต่อมาจำเลยไม่ยอมชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์ขอให้บังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีนำยึดทรัพย์จำเลยตามบัญชียึดทรัพย์ลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2524ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ ศาลชั้นต้นอนุญาต ต่อมาโจทก์เพิกเฉยไม่บังคับคดีภายในระยะเวลาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ถอนการบังคับคดี ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 8 เมษายน 2536 ว่า เนื่องจากศาลถอนการบังคับคดีโจทก์แล้ว ผู้ร้องทั้งสองในฐานะเจ้าหนี้ของจำเลยประสงค์จะขอสวมสิทธิโจทก์บังคับคดีจำเลยต่อไป
จำเลยยื่นคำคัดค้านและแก้ไขคำคัดค้านว่า คดีนี้โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์จำเลยเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์2524 ได้ทรัพย์ 12 รายการ ตามบัญชียึดทรัพย์ลงวันที่10 กุมภาพันธ์ 2524 เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทรัพย์ที่ 3 รายการต่อมาโจทก์ได้ถอนทรัพย์ที่ยึดไว้จนเหลือทรัพย์ที่ยึดแต่ยังไม่ได้ขายอีกเพียง 1 รายการ คือทรัพย์อันดับที่ 1 ตามบัญชียึดทรัพย์ลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2524 โจทก์ไม่สนใจติดตามบังคับคดีภายในเวลาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงรายงานศาลขอถอนการบังคับคดี และศาลมีคำสั่งถอนการบังคับคดีเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2536 ทรัพย์ดังกล่าวจึงหลุดพ้นจากการถูกยึดและบังคับคดีแล้ว ผู้ร้องทั้งสองไม่มีสิทธิยื่นคำร้องเข้ามาเพื่อสวมสิทธิโจทก์ในฐานะเจ้าหนี้เพื่อบังคับคดีต่อไปเพราะเวลาแห่งการบังคับคดีตามคำพิพากษาคดีนี้ได้สิ้นสุดและขาดอายุความแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 271 ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องทั้งสองดำเนินการบังคับคดีต่อไปเฉพาะทรัพย์อันดับที่ 1 ตามบัญชียึดทรัพย์ลงวันที่10 กุมภาพันธ์ 2524
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2523 โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระหนี้โจทก์เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2524 จำนวน 12 รายการ ต่อมาเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดทรัพย์สินของจำเลยไปบางรายการ และโจทก์ขอถอนการยึดทรัพย์สินของจำเลยบางรายการจนเหลือทรัพย์สินที่ยึดอีกเพียงรายการเดียวคือทรัพย์สินอันดับที่ 1 ตามบัญชียึดทรัพย์ลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2524คือที่ดินตามโฉนดเลขที่ 3466 เนื้อที่ 1 งาน 74 เศษหนึ่งส่วนสิบตารางวา อยู่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองกำแพงเพชรจังหวัดกำแพงเพชร ที่ยังขายทอดตลาดไม่ได้ และศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2525 ตามที่โจทก์ขอให้งดการขายทอดตลาดไว้ก่อนต่อมาโจทก์ไม่ดำเนินการบังคับคดีต่อไปภายในเวลาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนด เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงรายงานศาลขอให้มีคำสั่งถอนการบังคับคดีของโจทก์ ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่2 กุมภาพันธ์ 2536 ให้ถอนการบังคับคดีของโจทก์ ต่อจากนั้นเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ส่งหมายถึงผู้ร้องทั้งสองเมื่อวันที่25 มีนาคม 2536 แจ้งว่า หากผู้ร้องทั้งสองประสงค์จะสวมสิทธิบังคับคดีแทนโจทก์ก็ให้ไปแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายใน7 วัน นับแต่วันรับหมายซึ่งผู้ร้องทั้งสองได้แจ้งความประสงค์ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขอสวมสิทธิบังคับคดีแทนโจทก์เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2536
พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ผู้ร้องทั้งสองมีสิทธิขอให้ดำเนินการบังคับคดีเอาแก่ทรัพย์ของจำเลยอันดับที่ 1 ตามบัญชียึดทรัพย์ลงวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2524ต่อไปหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่าศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งถอนการบังคับคดีเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2536 มีผลทำให้กระบวนการบังคับคดียกเลิกเพิกถอนไปทั้งหมด เหลือเพียงขั้นตอนการเสียค่าธรรมเนียมในการถอนการยึดก่อนขายทอดตลาดเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสือลงวันที่ 8 เมษายน 2536 สอบถามผู้ร้องทั้งสองว่าจะเข้าสวมสิทธิบังคับคดีต่อไปหรือไม่ และผู้ร้องทั้งสองแจ้งความประสงค์ตกลงบังคับคดีต่อไปในวันเดียวกันเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่มีอำนาจลบล้างคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ถอนการบังคับคดี เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิในการบังคับคดีอีก ผู้ร้องทั้งสองจึงไม่อาจสวมสิทธิบังคับคดีจำเลยโดยไม่มีคำสั่งอนุญาตจากศาล ตามฎีกาจำเลยดังกล่าวมีปัญหาในเบื้องแรกว่า คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ถอนการบังคับคดีเมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2536 เพราะเหตุที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเพิกเฉยไม่ดำเนินการบังคับคดีภายในระยะเวลาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดจะมีผลต่อผู้ร้องทั้งสองซึ่งได้ยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์เมื่อวันที่ 4 และ5 สิงหาคม 2524 โดยชอบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 271 และมาตรา 290 ตามลำดับเพียงใดหรือไม่เห็นว่า กรณีที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาผู้ยึดทรัพย์สินสละสิทธิในการบังคับคดี หรือเพิกเฉยไม่ดำเนินการบังคับคดีภายในเวลาที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนด ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 295 ทวิ บัญญัติให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้ศาลสั่งถอนการบังคับคดีนั้นเสียส่วนมาตรา 290 วรรคแปด บัญญัติให้ผู้ขอเฉลี่ยทรัพย์ตามวรรคแรกมีสิทธิขอให้ดำเนินการบังคับคดีต่อไป เมื่อใจความทั้งสองมาตราหาได้กำหนดไว้ว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีกับผู้ขอเฉลี่ยทรัพย์จะต้องร้องขอภายในกำหนดเวลาหรือเงื่อนไขอย่างไรคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 2กุมภาพันธ์ 2536 ให้ถอนการบังคับคดี จึงย่อมมีผลโดยตรงเฉพาะโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่ขอให้ศาลบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 โดยไม่อาจบังคับคดีต่อไปได้เท่านั้น แต่ไม่กระทบถึงสิทธิของผู้ร้องทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 127/2524 กับหมายเลขแดงที่ 134/2524 ที่ได้ยื่นคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์เมื่อวันที่ 4 และ 5 สิงหาคม 2524 ตามลำดับโดยชอบที่จะดำเนินการบังคับคดีต่อไป เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ร้องทั้งสองซึ่งจำต้องร้องขอเฉลี่ยทรัพย์เพราะไม่อาจยึดหรืออายัดทรัพย์สินซ้ำตามมาตรา 290 วรรคแรก ได้ ซึ่งหากกฎหมายไม่คุ้มครองสิทธิผู้ขอเฉลี่ยทรัพย์โดยชอบดังกล่าว ก็อาจเป็นช่วงทางให้โอกาสแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาที่ได้ยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาไว้ก่อนอาจใช้วิธีการเพิกเฉยไม่บังคับคดีต่อไป ทำให้ผู้ขอเฉลี่ยทรัพย์ไม่อาจบังคับคดีเพื่อชำระหนี้ตามกฎหมายก็เป็นได้ ในคดีนี้เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีมีหมายนัดเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2536 ถึงผู้ร้องทั้งสองแจ้งว่าถ้าหากประสงค์จะสวมสิทธิบังคับคดีแทนโจทก์ ให้แถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายใน 7 วัน ผู้ร้องทั้งสองได้แถลงแจ้งความประสงค์ในวันดังกล่าวแล้วแม้จะกระทำในเวลาภายหลังที่ศาลมีคำสั่งให้ถอนการบังคับคดี ก็ย่อมมีผลให้ผู้ร้องทั้งสองสามารถดำเนินการบังคับคดีต่อไปโดยอาศัยอำนาจ มาตรา 290 วรรคแปด โดยไม่จำต้องให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตดังที่จำเลยฎีกาอีก
พิพากษายืน