คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1311/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่2สมัครเป็นสมาชิกผู้ใช้บัตรเครดิตประเภทบัตรเสริมของโจทก์โดยจำเลยที่ 2 สามารถนำบัตรไปใช้ซื้อสินค้าและบริการตลอดจนเสียเงินสดจากสถานประกอบกิจการที่เป็นสมาชิกของโจทก์ได้โดยโจทก์เป็นผู้ออกเงินทดรองจ่ายแทนจำเลยที่ 2 ให้แก่สถานประกอบกิจการค้าต่างๆไปก่อนจากนั้นโจทก์จะเรียกเก็บเงินที่ทดรองจ่ายแทนจากจำเลยที่ 2 เป็นรายเดือนตามรอบระยะเวลาทางบัญชีที่โจทก์กำหนดเช่นนี้โจทก์จึงเป็นผู้ค้ารับทำการงานต่างๆให้แก่สมาชิกและการที่โจทก์ได้ชำระเงินแก่เจ้าหนี้ของสมาชิกแทนสมาชิกไปก่อนแล้วจึงเรียกเก็บเงินจากสมาชิกภายหลังเป็นการเรียกเอาค่าที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองไปสิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 165 (7) เดิม คดีนี้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 เป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 2 มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้สิทธิเรียกร้องของโจทก์ต่อจำเลยทั้งห้าเป็นอย่างเดียวกันการที่จำเลยที่ 2 ยกอายุความขึ้นต่อสู้ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้แล้วเช่นกันแม้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 มิได้ฎีกา แต่เมื่อคดีของโจทก์ขาดอายุความศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 ได้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 245 (1), 247

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 สมัครเป็นสมาชิกผู้ใช้บัตรเครดิตอเมริกันเอ็กซ์เพรสของโจทก์ จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 สมัครเป็นสมาชิกผู้ใช้บัตรเครดิตประเภทบัตรเสริมของโจทก์ โดยจำเลยทั้งห้าตกลงว่าจะร่วมกันรับผิดต่อโจทก์อย่างลูกหนี้ร่วมในหนี้ที่เกิดขึ้นจากการนำบัตรออกใช้ เมื่อระหว่างวันที่ 12 มกราคม 2530 ถึงวันที่ 4 พฤษภาคม 2530 จำเลยทั้งห้าได้นำบัตรไปใช้แทนเงินสดซื้อสินค้าและบริการตลอดจนเบิกเงินสดจากสถานประกอบการค้าที่เป็นสมาชิกของโจทก์ภายในประเทศคิดเป็นเงิน 271,080 บาท โจทก์เรียกให้จำเลยทั้งห้าชำระหนี้ดังกล่าว จำเลยทั้งห้าชำระเงินคืนแก่โจทก์ 96,565.75 บาท ส่วนที่เหลือ 174,514.25 บาท ยังไม่ได้ชำระจำเลยทั้งห้าจึงต้องรับผิดในจำนวนเงินดังกล่าวพร้อมทั้งรับผิดในค่าทดแทนการออกเงินทุนในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนและค่าปรับเพื่อทดแทนค่าใช้จ่ายการเรียกเก็บเงินในอัตราร้อยละ 2.5 ต่อเดือนตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2530 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยทั้งห้าผิดนัดชำระเงินที่เรียกเก็บทั้งหมดจนถึงวันฟ้องจำนวน 384,804 บาท รวมหนี้ที่จำเลยทั้งห้าต้องรับผิดต่อโจทก์คิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 559,318.25 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงิน 559,318.25 บาท ค่าทดแทนการออกเงินทุนเพิ่มร้อยละ 1 ต่อเดือนจากต้นเงิน 174,514.25 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จและค่าปรับเพื่อทดแทนค่าใช้จ่ายจากการเรียกเก็บเงินร้อยละ 2.5 ต่อเดือนจากต้นเงิน 174,514.25 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่าได้สมัครเป็นสมาชิกเพื่อใช้บัตรเครดิตของโจทก์ประเภทบัตรเสริม แต่ไม่เคยนำบัตรออกใช้จำเลยที่ 2 ไม่เคยทำสัญญาว่าจะรับผิดในหนี้ที่จำเลยคนอื่นได้ใช้บัตรอย่างลูกหนี้ร่วมดังนั้น จึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ที่เกิดจากจากจำเลยอื่นก่อขึ้น นอกจากนี้โจทก์จะต้องฟ้องเรียกเงินที่ทดรองจ่ายแทนจำเลยที่ 2 คืนภายใน 5 ปี นับแต่วันที่มีสิทธิเรียกคืนได้ในหนี้แต่ละราย แต่โจทก์ฟ้องเมื่อพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้วคดีโจทก์จึงขาดอายุความขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้เงิน 174,514.25 บาท แก่โจทก์ในจำนวนเงินดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 รับผิดชอบด้วยไม่เกิน 57,085 บาท ให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 174,514.25 บาท นับแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 2 ชดใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน57,085 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นผู้ค้ารับทำการงานต่าง ๆ ให้แก่สมาชิกและการที่โจทก์ได้ชำระเงินแก่เจ้าหนี้ของสมาชิกแทนสมาชิกไปก่อนแล้วจึงเรียกเก็บเงินจากสมาชิกภายหลังเป็นการเรียกเอาค่าที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองไปสิทธิเรียกร้องดังกล่าวจึงมีอายุความ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 165 (7) เดิม ที่ใช้อยู่ในขณะที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ได้ออกเงินทดรองจ่ายแทนจำเลยทั้งห้าไปแล้วและได้ส่งรายละเอียดหลักฐานการซื้อสินค้าและบริการตลอดจนเบิกเงินสดไปยังจำเลยทั้งห้าเพื่อเรียกเก็บเงินตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2530 จำเลยทั้งห้าได้ชำระหนี้ให้โจทก์บางส่วนและส่วนที่เหลือค้างชำระตั้งแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2530 อายุความจึงเริ่มนับแต่วันดังกล่าว โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2535 พ้นกำหนด 2 ปี แล้วสิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงขาดอายุความและคดีนี้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 เป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 2 มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ สิทธิเรียกร้องของโจทก์ต่อจำเลยทั้งห้าเป็นอย่างเดียวกันการที่จำเลยที่ 2 ยกอายุความขึ้นต่อสู้ถือได้ว่าจำเลยที่1ที่ 3 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้แล้วเช่นกัน แม้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 มิได้ฎีกา แต่เมื่อคดีของโจทก์ขาดอายุความศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 ได้ด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 245 (1), 247จำเลยทั้งห้าจึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินจำนวน 57,085 บาท ที่ขาดอายุความแก่โจทก์ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 ชำระเงินจำนวน 174,514.25 บาท แก่โจทก์นั้นเป็นการไม่ถูกต้องจึงสมควรแก้ไขให้ถูกต้องซึ่งเมื่อหักเงินจำนวน 57,085 บาท ที่จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ออกจากจำนวนเงินดังกล่าวแล้วคงเหลือเงินที่จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 ต้องรับผิดชำระแก่โจทก์จำนวน 117,429.25 บาท
พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 5 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 117,429.25 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันที่ 8 กรกฎาคม 2530 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์และให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2

Share