คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10189/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยใช้มีดดาบตัวมีดยาวประมาณ18นิ้วด้ามมีดยาวประมาณ13นิ้วเป็นอาวุธฟังโจทก์ร่วมที่ใบหน้าซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญและโจทก์ร่วมมีบาดแผลลึกถึงกระดูกแต่บริเวณใบหน้ามิใช่ส่วนหนาของร่างกายและไม่ปรากฎว่ากระดูกบริเวณดังกล่าวของโจทก์ร่วมแตกหรือร้าวแต่อย่างใดแสดงว่าจำเลยมิได้ใช้อาวุธมีดดังกล่าวฟันโจทก์ร่วมโดยแรงและการที่จำเลยเข้ามาฟันโจทก์ร่วมด้วยอารมณ์โกรธในครั้งแรกอย่างรวดเร็วเช่นนั้นหากจำเลยมีเจตนาฆ่าคงฟังโจทก์ร่วมแรงกว่านั้นหรือใช้มีดดาบแทงที่หน้าตาของโจทก์ร่วมมิใช่เงื้อมีดจะฟันโจทก์ร่วมอีกจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าโจทก์ร่วมจำเลยคงมีเจตนาทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมเท่านั้นเมื่อปรากฎว่าโจทก์ร่วมต้องเข้ารักษาตัวโดยนอนมีโรงพยาบาล7วันหลังจากนั้นได้มารักษาตัวที่บ้านต่อเป็นเวลาอีก2เดือนขณะที่มาอยู่ที่บ้าน2เดือนนี้โจทก์ร่วมมีอาการไม่ปกติเนื่องจากเจ็บปากเมื่อเคี้ยวอาหารจะรู้สึกเจ็บดังนี้ถือได้ว่าโจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัสต้องทุพพลภาพป่วยเจ็ดด้วยอาการทุกขเวทนาและจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า20วันการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา297 การที่จ.นักร้องสาวที่จำเลยชอบพอติดพันอยู่ลุกจากโต๊ะจำเลยไปบริการโจทก์ร่วมเมื่อจ.กลับมาที่โต๊ะจำเลยก็มีพนักงานบริการมาตามให้ไปที่โต๊ะโจทก์ร่วมอีกนั้นไม่ใช่เหตุที่จำเลยจะอ้างได้ว่าถูกโจทก์ร่วมข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมการที่จำเลยทำร้ายโจทก์ร่วมเพราะเกิดจากอารมณ์ของจำเลยเองมิใช่มีผู้ใดก่อทั้งไม่ปรากฎว่าโจทก์ร่วมได้เข้าทำร้ายจำเลยก่อนหรือด่าว่าดูถูกเหยียดหยามจำเลยอย่างรุนแรงแต่อย่างใดหากจำเลยไม่ใส่ใจจ.ที่ลุกไปลุกมาที่โต๊ะจำเลยกับโต๊ะโจทก์ร่วมจำเลยก็ไม่เสียอารมณ์เองดังนี้การที่จำเลยใช้มีดฟันโจทก์ร่วมเพราะเหตุดังกล่าวจำเลยจะอ้างว่าบันดาลโทสะถูกโจทก์ร่วมข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมมิได้

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ว่า เมื่อ วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2537 เวลา กลางคืนก่อน เที่ยง จำเลย โดย มี เจตนาฆ่า ได้ ใช้ มีดดาบ ตัว มีด ยาว ประมาณ 18 นิ้วด้าม มีด ยาว ประมาณ 13 นิ้ว เป็น อาวุธ ฟัน นาย ชินดนัย คงเกษมผู้เสียหาย จำเลย ลงมือ กระทำ ความผิด ไป ตลอด แล้ว แต่ การกระทำ ไม่ บรรลุผล เนื่องจาก เมื่อ ผู้เสียหาย ถูก จำเลย ฟัน ที่ บริเวณ ใบหน้า ครั้งหนึ่งแล้ว มี ผู้ขัดขวาง ไม่ให้ จำเลย ฟัง ซ้ำ และ แพทย์ รักษา บาดแผล ของผู้เสียหาย ได้ ทันท่วงที ผู้เสียหาย จึง ไม่ถึง แก่ ความตาย สม ดัง เจตนา ของจำเลย เพียงแต่ เป็นเหตุ ให้ ผู้เสียหาย ได้รับ อันตรายสาหัส ต้อง ป่วย เจ็บด้วย อาการ ทุกขเวทนา และ ประกอบ กรณียกิจ ตาม ปกติ ไม่ได้ เกินกว่ายี่สิบ วัน เจ้าพนักงาน ตำรวจ จับ จำเลย ได้ พร้อม ด้วย มีดดาบ 1 เล่มเป็น ของกลาง ขอให้ ลงโทษ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80,33 และ ริบของกลาง
จำเลย ให้การ รับ ว่า ได้ ใช้ มีดดาบ ฟัน ทำร้าย ผู้เสียหาย แต่ ไม่ได้มี เจตนาฆ่า และ กระทำ ไป โดย บันดาลโทสะ
ระหว่าง พิจารณา นาย ชินดนัย คงเกษม ผู้เสียหาย ยื่น คำร้อง ขอ เข้าร่วม เป็น โจทก์ ศาลชั้นต้น อนุญาต
ศาลชั้นต้น พิพากษา ว่า จำเลย มี ความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบ มาตรา 80 ลงโทษ จำคุก 10 ปี คำให้การ และ ทางนำสืบ ของจำเลย เป็น ประโยชน์ แก่ การ พิจารณา มีเหตุ บรรเทา โทษ ลดโทษ ให้ หนึ่ง ใน สามตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คง จำคุก 6 ปี 8 เดือน ริบของกลาง
โจทก์ร่วม และ จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า ข้อเท็จจริง ฟังได้ ใน เบื้องต้น ว่า ตาม วันเวลา และ สถานที่เกิดเหตุ จำเลย ใช้ มีดดาบ ตัว มีด ยาว ประมาณ 18 นิ้วด้าม มีด ยาว ประมาณ 13 นิ้ว เป็น อาวุธ ฟัน โจทก์ร่วม ที่ บริเวณ ใบหน้า1 ครั้ง เป็นเหตุ ให้ ใบหน้า ของ โจทก์ร่วม มี บาดแผล ตาม ยาว ตั้งแต่ใต้ ตาซ้าย ผ่าน จมูก ยาว ลง มา ถึง ริมฝีปาก ล่าง ตาม รายงาน ผล การ ตรวจชันสูตร บาดแผล ของ แพทย์ เอกสาร หมาย จ. 3 ที่ จำเลย ฎีกา ว่า จำเลยฟัน โจทก์ร่วม เพียง ครั้งเดียว เป็น การ ฟัน โดย มิได้ มี เจตนาฆ่า โจทก์ร่วมและ เหตุ ที่ ฟัน โจทก์ร่วม เพราะ ถูก โจทก์ร่วม ข่มเหง อย่างร้ายแรง ด้วย เหตุอัน ไม่เป็นธรรม จำเลย จึง ฟัน โจทก์ร่วม ใน ขณะ นั้น การกระทำ ของ จำเลย เป็นการกระทำ โดย บันดาลโทสะ นั้น เห็นว่า ลักษณะ และ การ รักษา บาดแผลของ โจทก์ร่วม ตาม คำเบิกความ ของ นาย วิศิษฐ์ คงเจริญสมบัติ แพทย์ ผู้ทำ การ ตรวจ รักษา โจทก์ร่วม ประกอบ กับ รายงาน ผล การ ตรวจ ชันสูตร บาดแผลเอกสาร หมาย จ. 3 ปรากฎ ว่า บาดแผล ที่ หน้า ของ โจทก์ร่วม เป็น แนว ยาวตั้งแต่ ใต้ ตาซ้าย ผ่าน จมูก ริมฝีปาก บน และ ล่าง ทะลุ ถึง กระดูก ดังนี้แม้ จำเลย จะ ใช้ มีดดาบ ตัว มีด ยาว ประมาณ 18 นิ้ว ด้าม มีด ยาว ประมาณ13 นิ้ว เป็น อาวุธ ฟัน โจทก์ร่วม ที่ ใบหน้า ซึ่ง เป็น อวัยวะ สำคัญ และโจทก์ร่วม มี บาดแผล ลึก ถึง กระดูก แต่ บริเวณ ใบหน้า มิใช่ ส่วน หนา ของร่างกาย และ ไม่ ปรากฎ ว่า กระดูก บริเวณ ดังกล่าว ของ โจทก์ร่วม แตก หรือ ร้าวแต่อย่างใด แสดง ว่า จำเลย มิได้ ใช้ อาวุธ มีด ดังกล่าว ฟัน โจทก์ร่วมโดย แรง และ แม้ จำเลย เงื้อ มีด จะ ฟัน โจทก์ร่วม อีก ก็ น่าเชื่อ ว่า จะ ฟันโจทก์ร่วม ไม่ แรง เพราะ การ ที่ จำเลย เข้า มา ฟัน โจทก์ร่วม ด้วย อารมณ์ โกรธใน ครั้งแรก อย่าง รวดเร็ว เช่นนั้น หาก จำเลย มี เจตนาฆ่า คง ฟัน โจทก์ร่วมแรง กว่า นั้น หรือ ใช้ มีดดาบ แทง ที่ หน้า ตา ของ โจทก์ร่วม ข้อเท็จจริง จึงรับฟัง ไม่ได้ ว่า จำเลย มี เจตนาฆ่า โจทก์ร่วม คง ฟัน ได้ เพียง ว่า จำเลย มีเจตนา ทำร้ายร่างกาย โจทก์ร่วม เท่านั้น และ เมื่อ ปรากฎ จาก คำเบิกความของ โจทก์ร่วม ว่า โจทก์ร่วม ต้อง เข้า รักษา ตัว โดย นอน ที่ โรงพยาบาลสหเวช 7 วัน หลังจาก นั้น ได้ มา รักษาตัว ที่ บ้าน ต่อ เป็น เวลา อีก 2 เดือน ขณะที่ มา อยู่ ที่ บ้าน 2 เดือน นี้ โจทก์ร่วม มี อาการ ไม่ ปกติเนื่องจาก เจ็บ ปาก เมื่อ เคี้ยว อาหาร จะ รู้สึก เจ็บ จึง ถือได้ว่าโจทก์ร่วม ได้รับ อันตรายสาหัส ต้อง ทุพพลภาพ ป่วย เจ็บ ด้วย อาการทุกขเวทนา และ จน ประกอบ กรณียกิจ ตาม ปกติ ไม่ได้ เกินกว่า 20 วัน ดังคำฟ้อง ของ โจทก์ การกระทำ ของ จำเลย จึง เป็นความผิด ฐาน ทำร้ายร่างกายผู้อื่น เป็นเหตุ ให้ ได้รับ อันตรายสาหัส ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297
สำหรับ ฎีกา จำเลย ปัญหา ต่อไป ที่ ว่า จำเลย ถูก ข่มเหง อย่างร้ายแรงด้วย เหตุ อัน ไม่เป็นธรรม หรือไม่ เห็นว่า แม้ ข้อเท็จจริง จะ ฟังได้ ดังที่ จำเลย นำสืบ ว่า นางสาว จารุวรรณนักร้อง สาว ที่ จำเลย ชอบพอ ติดพัน อยู่ ลุก จาก โต๊ะ จำเลย ไป บริการ โจทก์ร่วม เมื่อ นางสาว จารุวรรณ กลับมา ที่ โต๊ะ จำเลย ก็ มี พนักงานบริการ มา ตาม ให้ ไป ที่ โต๊ะ โจทก์ร่วม อีก นั้นไม่ใช่เหตุ ที่ จำเลย จะ อ้าง เป็นเหตุ ทำร้าย โจทก์ร่วม ว่า ถูก โจทก์ร่วมข่มเหง อย่างร้ายแรง ด้วย เหตุ อัน ไม่เป็นธรรม ได้ การ ที่ จำเลย ทำร้ายโจทก์ร่วม เพราะ เกิดจาก อารมณ์ ของ จำเลย เอง มิใช่ มี ผู้ใด ก่อ ไม่ ปรากฎว่า โจทก์ร่วม ได้ เข้า ทำร้าย จำเลย ก่อน หรือ ด่า ว่า ดูถูก เหยียดหยาม จำเลยอย่าง รุนแรง แต่อย่างใด หาก จำเลย ไม่ ใส่ ใจ นางสาว จารุวรรณ ที่ ลุก ไป ลุก มา ที่ โต๊ะ จำเลย กับ โต๊ะ โจทก์ร่วม จำเลย ก็ ไม่เสีย อารมณ์ เองส่วน ที่ จำเลย ขอให้ ศาล ลงโทษ จำเลย สถาน เบา และ รอการลงโทษ จำคุก จำเลยนั้น เห็นว่า ขณะ กระทำ ความผิด ปรากฎ ตาม ฟ้อง ของ โจทก์ ว่า จำเลย มี อายุเพียง 20 ปี ขณะ เกิดเหตุ จำเลย ศึกษา อยู่ ใน ระดับ ปริญญาตรี ที่ คณะวิทยาศาสตร์ สาขา เทคโนโลยีเซรามิก ชั้น ปี ที่ 1 พฤติการณ์ แห่ง การ กระทำ ความผิด จำเลย กระทำ ไป ด้วย อารมณ์ ชั่ววูบ ไม่ ปรากฎ ว่า จำเลย เคยกระทำ ความผิด มา ก่อน จึง เห็นควร ให้ โอกาส จำเลย กลับ ตน เป็น พลเมือง ดีโดย รอการลงโทษ จำเลย และ กำหนด เงื่อนไข เพื่อ คุม ความประพฤติของ จำเลย ไว้
พิพากษาแก้ เป็น ว่า จำเลย มี ความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 ลงโทษ จำคุก มี กำหนด 3 ปี คำให้การ และ ทางนำสืบ ของ จำเลยเป็น ประโยชน์ แก่ การ พิจารณา มีเหตุ บรรเทา โทษ ลดโทษ ให้ หนึ่ง ใน สามตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คง จำคุก 2 ปี โทษ จำคุก ให้ รอ ไว้ 3 ปีให้ จำเลย ไป รายงาน ตัว ต่อ พนักงานคุมประพฤติ ทุกเดือน ตลอด ระยะเวลา ที่ รอการ ลงโทษ และ ใน ระหว่าง ระยะเวลา ที่ รอการลงโทษ ดังกล่าว ให้ จำเลย กระทำกิจกรรม บริการ สังคม หรือ สาธารณประโยชน์ ตาม ที่ พนักงานคุมประพฤติ และจำเลย เห็นสมควร รวม 36 ครั้ง ครั้ง ละ 3 ชั่วโมง

Share