แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาทำให้โจทก์ไม่สามารถดูดทรายจากในที่ดินของจำเลยได้จำเลยจึงต้องคืนเงินมัดจำค่าทรายพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันรับเงินมัดจำจากโจทก์รวมทั้งค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการผิดสัญญาด้วย โจทก์นำสืบในส่วนที่เกี่ยวกับค่าเสียหายว่าโจทก์ได้ใช้จ่ายเป็นค่าจ้างบรรทุกเรือขุดค่าคนงานค่าเช่าเรือดูดทรายค่าเช่ารถขุดและค่าน้ำมันรวมเป็นเงินทั้งสิ้น839,360บาทแม้จำเลยจะมิได้นำสืบหักล้างเป็นประการอื่นก็ตามแต่นอกจากโจทก์มิได้นำหลักฐานการจ่ายเงินมาแสดงยืนยันให้เห็นได้แล้วยังนำสืบขัดกับหลักฐานหนังสือทวงถามที่เรียกจากจำเลยเป็นเงินเพียง461,600บาทอีกทั้งยังได้ความว่าแม้โจทก์จะดูดทรายจากในที่ดินจำเลยไม่ได้แต่โจทก์ก็สามารถนำเครื่องอุปกรณ์การดูดทรายไปดูดทรายจากที่ดินข้างเคียงจำเลยได้อยู่ทำให้เห็นได้ว่าโจทก์ไม่ถึงกับเสียหายไปทั้งหมดเสียทีเดียวค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมาจึงสูงเกินไปสมควรกำหนดให้เพียง300,000บาท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดิน โฉนดเลขที่ 4544,4546, 4549, 4550 และ 5298 ตำบลลุมภาลี อำเภอพระนครศรีอยุธยาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่รวมประมาณ 17 ไร่ 2 งาน 30 ตารางวาประมาณวันที่ 25 ธันวาคม 2533 โจทก์ได้นำเครื่องจักรขุดและดูดทรายเข้าไปในที่ดินดังกล่าวพร้อมคนงาน โดยโจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายทรายในที่ดินแปลงดังกล่าว เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2534รวม 600,000 ลูกบาศก์เมตร ราคาลูกบาศก์เมตรละ 18 บาท มีข้อสัญญาว่าโจทก์ต้องทำการขุดและดูดทรายเอง และต้องชำระเงินให้จำเลยทุกวันที่ 10, 20 และ 30 ของทุกเดือน ในวันทำสัญญาโจทก์ได้ชำระเงินให้จำเลย 300,000 บาท ด้วยเช็คของธนาคารนครธน จำกัด ลงวันที่14 มกราคม 2534 และจำเลยได้รับเงินไปเรียบร้อยแล้ว โจทก์ได้เริ่มขุดและดูดทรายตั้งแต่วันที่ 18 มกราคม 2534 ถึงวันที่ 25มกราคม 2534 แต่ในที่ดินดังกล่าวไม่มีทรายตามสัญญา ถือว่าจำเลยผิดสัญญาไม่สามารถส่งมอบทรายให้โจทก์ตามสัญญาได้ จำเลยต้องคืนเงินที่รับไว้ 300,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 14 มกราคม 2534 ถึงวันฟ้องเป็นเวลา 7 เดือน 26 วันเป็นดอกเบี้ย 14,750 บาท และค่าเสียหายที่โจทก์ได้เสียไปในการปฏิบัติตามสัญญาอีก 539,360 บาท รวมเป็นเงินที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ 854,110 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 854,110 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ตามสัญญาลงวันที่ 14 มกราคม 2534 กำหนดให้โจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายผู้ซื้อเข้าทำการขุดและดูดทรายเอง ซึ่งหมายถึงการสำรวจด้วย ก่อนซื้อโจทก์ได้เข้าไปดูบ่อทรายหรือบริเวณที่จะทำการขุดทรายและสำรวจแล้วว่า มีทรายมากพอจึงตกลงซื้อแต่เนื่องจากโจทก์ไม่มีความรู้ความสามารถพอ จึงไม่เข้าทำการขุดและดูดทรายและตามสัญญามีข้อตกลงว่า โจทก์จะระงับการดูดทรายเป็นระยะเวลาติดต่อกันตั้งแต่ 10 วัน ไม่ได้ และโจทก์ต้องดำเนินการดูดทรายภายใน 10 วัน นับแต่วันที่ได้รับอนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม หากไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวถือว่าโจทก์ผิดนัดและสัญญาเลิกกันทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าว โจทก์มิได้ปฏิบัติตามสัญญาโจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดนัดผิดสัญญา จำเลยมีสิทธิริบมัดจำ 300,000 บาท โจทก์มิได้เสียหายจริงตามฟ้อง หากมีการใช้จ่ายจริงก็ไม่เกิน 15,000 บาท ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้บรรยายว่าเหตุใดโจทก์จึงนำเครื่องมือเครื่องจักรเข้าไปในที่ดินของจำเลยก่อนที่จะมีการทำสัญญาซื้อทราย ค่าเสียหายของโจทก์มีอะไรเกี่ยวข้องกับสัญญาอย่างไร จำเลยจะต้องรับผิดอย่างไรขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 14 มกราคม 2534 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้ชำระเงิน 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับ ให้ยก ฟ้อง
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.ล.1 ถึง จ.ล.6 หลังจากโจทก์กับจำเลยได้ตกลงซื้อขายทรายจากที่ดินของจำเลยดังกล่าวด้วยวาจากันในเดือนธันวาคม 2533 แล้ว โจทก์ได้นำเครื่องจักรขุดและดูดทรายเข้าไปในที่ดินของจำเลยพร้อมมีคนงานเพื่อเตรียมขุดทรายจากนั้นในวันที่ 14 มกราคม 2534 โจทก์ จำเลยจึงได้ทำสัญญาซื้อขายทรายกันไว้เป็นหลักฐาน รายละเอียดปรากฎตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมายจ.7 ปัญหาจะต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์มีว่า โจทก์หรือจำเลยผิดสัญญาซื้อขายทราย เอกสารหมาย จ.7 หากจำเลยผิดสัญญา จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใด ปัญหาตามฎีกาโจทก์ข้อแรกศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังได้ว่าในที่ดินของจำเลยไม่มีทรายให้โจทก์ดูดได้ตามที่จำเลยได้ตกลงขายให้แก่โจทก์ตามสัญญาเอกสารหมาย จ.7 จริง ดังนั้น จำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดสัญญา โจทก์ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา
ปัญหาตามฎีกาโจทก์ประการสุดท้ายที่ว่า จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใดนั้น เมื่อข้อเท็จจริงดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้วฟังได้ว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา การที่โจทก์ไม่สามารถดูดทรายจากในที่ดินของจำเลยได้ จำเลยจึงต้องคืนเงินมัดจำค่าทรายจำนวน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันจำเลยรับเงินจากโจทก์พร้อมค่าเสียหายอันเนื่องมาจากการที่จำเลยผิดสัญญาแก่โจทก์แต่จากการที่โจทก์นำสืบในส่วนที่เกี่ยวกับค่าเสียหายว่า โจทก์ได้ใช้จ่ายเป็นค่าจ้างบรรทุกเรือขุดไปและกลับเป็นเงิน 30,000 บาทค่าคนงาน 6 คน เป็นเงิน 16,560 บาท ค่าเช่าเรือดูดทรายเป็นเงิน150,000 บาท ค่าเช่ารถขุดเป็นเงิน 300,000 บาท ค่าน้ำมันเป็นเงิน42,800 บาท เป็นเงิน 539,360 บาท แม้จำเลยจะมิได้นำสืบหักล้างเป็นประการอื่นก็ตามแต่โจทก์ก็มิได้นำหลักฐานการจ่ายเงินมาแสดงยืนยันให้เห็นได้แล้วยังนำสืบขัดกับหลักฐานหนังสือทวงถามค่าเสียหายของโจทก์ที่มีไปถึงจำเลยตามเอกสารหมาย จ.8 โดยเรียกจากจำเลยเป็นเงินเพียง 461,600 บาท ซึ่งน้อยกว่าที่โจทก์นำสืบให้เห็นอีกกอร์ปกับข้อเท็จจริงตามทางนำสืบของโจทก์ที่ว่า แม้โจทก์จะดูดทรายจากในที่ดินของจำเลยไม่ได้ แต่โจทก์ก็สามารถนำเครื่องอุปกรณ์การดูดทรายไปดูดทรายจากที่ดินข้างเคียงของที่ดินจำเลยได้อยู่ซึ่งทำให้เห็นได้ว่า โจทก์ไม่ถึงกับเสียหายไปทั้งหมดเสียทีเดียวจากเหตุและผลดังที่ได้วินิจฉัยมาแล้วจึงเห็นว่า ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมาในส่วนนี้สูงเกินไป เห็นสมควรกำหนดให้แก่โจทก์ตามสมควรแก่พฤติการณ์ โดยให้จำเลยชำระค่าเสียหายดังกล่าวแก่โจทก์300,000 บาท
พิพากษากลับ ให้จำเลยคืนเงินมัดจำจำนวน 300,000 บาทและชำระค่าเสียหาย จำนวน 300,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 14 มกราคม 2534 และนับถัดจากวันฟ้องตามลำดับจนกว่าจะชำระเสร็จ