คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 650/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อตามคำฟ้องโจทก์ประสงค์แบ่งกรรมสิทธิ์รวมตามแนวแผนที่พิพาทซึ่งคู่ความรับกันว่าจำเลยที่2และที่3ต่างมีบ้านพักปลูกอยู่บริเวณหมายเลข1และหมายเลข3ตามแผนที่พิพาทซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงการครอบครองเป็นส่วนสัดเฉพาะตัวบ้านอยู่แล้วส่วนโจทก์และจำเลยที่1ยังฟังไม่ได้ว่าครอบครองที่ดินพิพาทในส่วนใดเช่นนี้การที่ศาลล่างพิพากษาต้องกันให้ไปรังวัดแบ่งแยกอาณาเขตที่ดินตามส่วนในโฉนดที่ดินและตามแนวแผนที่พิพาทโดยกันส่วนของจำเลยที่2และที่3ออกส่วนที่เหลือให้แบ่งกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1ตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1364จึงเป็นการชอบแล้วหาเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยทั้งสามถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 2071 ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมืองสุพรรณบุรีจังหวัดสุพรรณบุรี เนื้อที่ 168 ตารางวา, 28 ตารางวา 65 ตารางวาและ 15 ตารางวา ตามลำดับรวมเนื้อที่ 2 งาน 76 ตารางวา ตามแผนที่ท้ายฟ้อง ต่อมาเดือนพฤศจิกายน 2534 โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทั้งสามไปรังวัดแบ่งแยกที่ดินข้างต้น แต่จำเลยทั้งสามไม่ดำเนินการ ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกับโจทก์ยื่นเรื่องราวขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 2071 ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี ตามแผนที่ท้ายฟ้อง หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสาม
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยทั้งสามกับโจทก์ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทจริง โดยจำเลยที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์เนื้อที่28 ตารางวา อยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือติดที่ดินจำเลยที่ 3ด้านทิศเหนือ ส่วนทิศใต้ติดที่ดิน จำเลยที่ 2 ทิศตะวันออกติดที่ดินโจทก์ ทิศตะวันตกทางสาธารณะประโยชน์ตามแผนที่ท้ายคำให้การไม่ใช่ตามแผนที่ท้ายฟ้องและจำเลยที่ 1 ไม่เคยได้รับการบอกกล่าวจากโจทก์ให้ไปรังวัดแบ่งแยกที่ดิน ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษา ให้โจทก์และจำเลยทั้งสามไปรังวัดแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 2071 ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมืองสุพรรณบุรีจังหวัดสุพรรณบุรี เนื้อที่ตามที่กำหนดในสารบัญการจดทะเบียนโดยส่วนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้รังวัดตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย ล.7 ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของฝ่ายนั้น ที่ดินส่วนที่เหลือให้โจทก์และจำเลยที่ 1แบ่งกันตามที่กำหนดไว้ในประมวลมาตรา 1364 เป็นพับ คำขออื่นให้ยก
จำเลย ที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้เป็นยุติว่าโจทก์และจำเลยทั้งสามมีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 2071 ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมืองสุพรรณบุรีจังหวัดสุพรรณบุรี ร่วมกันโดยที่ดินในส่วน จำเลยที่ 2 และที่ 3อยู่ทางด้านทิศใต้และทิศเหนือบริเวณหมายเลข 1 และหมายเลข 3ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย ล.7 ตามลำดับ คดีถึงที่สุดเฉพาะจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งไม่ได้ฎีกา คงมีปัญหาเฉพาะจำเลยที่ 1ว่า โจทก์มีสิทธิแบ่งแยกที่ดินตามแผนที่พิพาทท้ายฟ้องหรือไม่โดยจำเลยที่ 1 ฎีกาในข้อแรกว่า โจทก์มิได้นำนางจุรีผู้โอนที่ดินให้โจทก์มาเบิกความสนับสนุนข้ออ้างของตนและยังนำชี้แผนที่พิพาทเอกสารหมาย ล.7 แตกต่างจากแผนที่พิพาทท้ายฟ้องถือได้ว่าโจทก์ไม่สามารถนำสืบฟังเป็นยุติได้ว่า โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทตามฟ้อง นอกจากนี้ตามสำเนาเอกสารโฉนดท้ายฟ้องหมายเลข 1 และตามทางพิจารณามีทางสาธารณประโยชน์ผ่านที่โจทก์ครอบครองด้านทิศตะวันออกสู่ถนนสาธารณประโยชน์ สายวัดพระธาตุโพธิ์พระยาได้ โจทก์ไม่จำเป็นต้องแบ่งทางเข้าออกด้านหน้าที่ดินตามที่โจทก์กล่าวอ้าง ศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1 ในข้อนี้ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3ว่าไม่ชอบหรือผิดพลาดอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คงมีปัญหาเฉพาะฎีกาจำเลยที่ 1 ประการสุดท้ายว่าเมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานแสดงการครอบครองเป็นส่วนสัดศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีอำนาจให้โจทก์จำเลยที่ 1 แบ่งที่ดินพิพาทดังกล่าวหรือไม่ ในข้อนี้เห็นว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1364 บัญญัติให้อำนาจศาลไว้ว่า “การแบ่งทรัพย์สินพึงกระทำโดยแบ่งทรัพย์สินนั้นเองระหว่างเจ้าของรวม หรือโดยขายทรัพย์สินแล้วเอาเงินที่ขายได้แบ่งกัน ถ้าเจ้าของรวมไม่ตกลงกันว่าจะแบ่งทรัพย์สินอย่างไรไซร้ เมื่อเจ้าของรวมคนหนึ่งคนใดขอศาลอาจสั่งให้เอาทรัพย์สินนั้นออกแบ่ง ถ้าส่วนที่แบ่งให้ไม่เท่ากันไซร้จะสั่งให้ทดแทนกันเป็นเงินก็ได้” ฉะนั้น เมื่อตามคำฟ้องโจทก์ประสงค์แบ่งกรรมสิทธิ์รวมตามแนวแผนที่พิพาทเอกสารหมาย ล.7 ซึ่งคู่ความรับกันว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ต่างมีบ้านพักปลูกอยู่บริเวณหมายเลข 1 และหมายเลข 3 ตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย ล.7 ซึ่งเป็นเครื่องหมายแสดงการครอบครองเป็นส่วนสัดเฉพาะตัวบ้านอยู่แล้วส่วนโจทก์และจำเลยที่ 1 ยังฟังไม่ได้ว่าครอบครองที่ดินพิพาทในส่วนใด ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาให้ไปรังวัดแบ่งแยกอาณาเขตที่ดินตามส่วนในโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1 และตามแนวแผนที่พิพาทเอกสารหมาย ล.7 โดยกันส่วนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ออก ส่วนที่เหลือให้แบ่งกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1364 จึงเป็นการชอบแล้วหาเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้องดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกาไม่
พิพากษายืน

Share