แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินโฉนดเลขที่38163เป็นที่ดินที่เหลือจากการเวนคืนของที่ดินโฉนดเลขที่3151ของโจทก์ซึ่งต่อมาโจทก์ได้ขายไปเมื่อปี2528หลังจากที่ดินโจทก์ถูกเวนคืนแล้วที่ดินโฉนดเลขที่38163ที่เหลือจากการเวนคืนอยู่นั้นย่อมจะมีราคาสูงขึ้นดังนั้นจำเลยที่2จึงมีสิทธินำราคาสูงขึ้นของที่ดินโจทก์ที่เหลือจากการเวนคืนมาหักออกจากเงินค่าทดแทนที่ดินซึ่งจำเลยที่2จะต้องชำระให้แก่โจทก์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ.2530มาตรา21วรรคสอง พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ.2530มาตรา26วรรคสามบัญญัติให้ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนได้รับดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคารออมสินในจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นนับแต่วันที่ได้มีการจ่ายเงินหรือวางเงินค่าทดแทนดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5ต่อปีคงที่นับแต่วันที่27กุมภาพันธ์2534เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จยังไม่ถูกต้องโจทก์จึงชอบที่จะได้รับดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคารออมสินในจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้น ที่ดินโจทก์ถูกเวนคืนตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่แขวงสุรวงศ์ พ.ศ.2516ซึ่งในมาตรา3กำหนดให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจำเลยที่1เป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวและมีหน้าที่จะต้องจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่โจทก์โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่1 ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่ตำบลสุรวงศ์ พ.ศ.2511กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกาในฐานะดังกล่าวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยย่อมมีอำนาจหน้าที่แต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นของอสังหาริมทรัพย์และวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ.2497หรือพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ.2530แล้วแต่กรณีและที่กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกานั้นก็เพราะการเวนคืนดังกล่าวอยู่ในวัตถุประสงค์ของจำเลยที่3ด้วยดังนั้นเมื่อมีการอ้างว่าการกำหนดเงินค่าทดแทนไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ.2497หรือพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ.2530แล้วแต่กรณีผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนจึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่3ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่3151 แขวงสุรวงศ์ เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร เนื้อที่ 278.3 ตารางวาพร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดิน อาคารเลขที่ 67 จำนวน 3 หลัง ปรากฎว่าที่ดินของโจทก์ถูกเวนคืนตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่แขวงสุรวงค์ พ.ศ. 2516 โจทก์ควรได้รับเงินค่าทดแทนที่ดินในอัตราตารางวาละ 300,000 บาท เท่ากันตลอดทั้งแปลงเป็นเงิน83,490,000 บาท และควรได้รับค่าทดแทนสิ่งปลูกสร้างเป็นเงิน6,540,000 บาท พร้อมค่ารื้อถอนขนย้ายอีก 1,000,000 บาท รวมเป็นเงิน7,540,000 บาท รวมเป็นเงินค่าทดแทนทั้งสิ้นจำนวน 91,241,031 บาท แต่โจทก์ได้รับเงินค่าทดแทนแล้วจำนวน 14,010,372 บาท จึงเป็นจำนวนเงินค่าทดแทนที่ขอเพิ่งขึ้นจำนวน 77,230,659 บาท โจทก์อุทธรณ์ตามขั้นตอนของกฎหมายแล้วเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2534 ปรากฎว่าจนบัดนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงของจำเลยที่ 3 ยังไม่มีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามชำระเงินจำนวน 77,230,659 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 8.5 ต่อปี ตามอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินนับแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์2534 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า การกำหนดเงินค่าทดแทนอสังหาริมทรัพย์ของจำเลยทั้งสามเป็นธรรมและชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินค่าทดแทนเพิ่มพร้อมดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสามขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 25,955.500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวน 22,675,500 บาท แก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ด้วย ยกฟ้องจำเลยที่ 3 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ จำเลย ที่ 1 และ ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาตามฎีกาโจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ประการแรกว่า เงินค่าทดแทนที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้โจทก์เหมาะสมและเป็นธรรมหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2497 มาตรา 14 บัญญัติว่า “เงินค่าทดแทนที่จะให้แก่เจ้าของตามมาตรา 11 นั้น ถ้าไม่มีบัญญัติเป็นพิเศษในพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฉบับใดเป็นเฉพาะแล้ว ให้กำหนดราคาทรัพย์สินที่ต้องเวนคืนตามความเป็นธรรมที่เป็นอยู่ในวันใช้บังคับตามพระราชกฤษฎีกาตามความในมาตรา 6 ” และพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 21 บัญญัติว่า”เงินค่าทดแทนที่จะให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนตามมาตรา 18นั้น ถ้ามิได้บัญญัติไว้เป็นพิเศษในพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฉบับใดโดยเฉพาะแล้วให้กำหนดโดยคำนึงถึง (1) ราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาดของอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนตามที่เป็นอยู่ในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามมาตรา 6″แสดงว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวมีหลักเกณฑ์การกำหนดเงินค่าทดแทนทำนองเดียวกันคือ ถ้าพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์มิได้บัญญัติเรื่องเงินค่าทดแทนไว้ ต้องกำหนดเงินค่าทดแทนตามราคาในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกา การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์เป็นการเวนคืนตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่แขวงสุรวงศ์และแขวงสีลม เขตบางรักและแขวงยานนาวา แขวงทุ่งมหาเมฆ แขวงทุ่งวัดดอนและแขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2516 โดยมีการออกพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่ตำบลสุรวงศ์ ตำบลสีลม อำเภอบางรัก และตำบลนานนาวาตำบลทุ่งมหาเมฆ ตำบลทุ่งวัดดอน ตำบลช่องนนทรี อำเภอยานนาวาจังหวัดพระนคร พ.ศ. 2511 ซึ่งมีผลใช้บังคับในวันที่ 16 ตุลาคม2511 เมื่อพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่แขวงสุรวงศ์ฯ พ.ศ. 2516 ไม่มีบทบัญญัติเป็นพิเศษในเรื่องเงินค่าทดแทนไว้จึงต้องกำหนดเงินค่าทดแทนโดยใช้ราคาในวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่ตำบลสุรวงศ์ฯ พ.ศ. 2511 คือวันที่ 16 ตุลาคม 2511 เป็นเกณฑ์ในการกำหนดเงินค่าทดแทน ดังนั้นโจทก์จะขอให้กำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินโจทก์ตารางวาละ 300,000 บาท ซึ่งเป็นราคาประเมินปี 2535 หาได้ไม่แต่อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงได้ความว่า หลังจากมีพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่แขวงสุรวงศ์ฯ พ.ศ. 2516 ให้บังคับแล้วจำเลยก็มิได้ดำเนินการชดใช้ค่าทดแทนให้แก่โจทก์ในเวลาอันควรและเพิ่งจะกำหนดเงินค่าทดแทนให้โจทก์ในปี 2531 เช่นนี้ ย่อมทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายการที่คณะกรรมการกำหนดเงินค่าทดแทนของจำเลยที่กำหนดค่าทดแทนราคาที่ดินให้แก่โจทก์มีมติให้ใช่เงินค่าทดแทนตามราคาประเมินปี 2531 สำหรับที่ดินส่วนแรกเนื้อที่ 127 ตารางวาตารางวาละ 80,000 บาท และที่ดินส่วนที่สอง เนื้อที่ 151.3 ตารางวาตารางวาละ 35,000 บาท จึงเป็นการชดเชยความเสียหายที่โจทก์ได้รับดังกล่าว แต่เมื่อคำนึงถึงสภาพและที่ตั้งของที่ดินโจทก์ซึ่งมีเนื้อที่ไม่มากจนเกินไปถึงกับจะมีความจำเป็นที่จะต้องกำหนดราคาให้แตกต่างกันเป็นส่วน ๆ ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดเงินค่าทดแทนที่ดินโจทก์เป็นราคาเดียวกันตลอดทั้งแปลงจึงถูกต้องและเหมาะสมแล้วปัญหาว่าราคาที่ดินโจทก์ควรเป็นราคาเท่าใดนั้น เห็นว่า บัญชีราคาประเมินที่ดินเอกสารหมาย ล.6 แผ่นที่ 2 ซึ่งระบุว่าเดือนมิถุนายน2530 ที่ดินติดซอยอนุมานราชธนระยะ 20 เมตร ราคา ตารางวาละ 80,000บาท และตามหนังสือรับรองราคาประเมินที่ดินโจทก์เอกสารหมาย จ.6 เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2535 ราคาตารางวาละ 300,000 บาท แสดงว่าราคาที่ดินโจทก์สูงขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจในอัตราเฉลี่ยตารางวาละปีละ 55,000 บาท การที่จำเลยที่ 2 กำหนดค่าทดแทนที่ดินโจทก์โดยถือตามบัญชีราคาประเมินที่ดินเอกสารหมาย ล.6 แผ่นที่ 2 เป็นเกณฑ์กำหนดอันเป็นราคาคงที่ตลอดเวลาที่ใช้บัญชีดังกล่าวจึงมิใช่ราคาธรรมดาที่ซื้อขายในท้องตลาดตามความเป็นจริงในปี 2531 นั้น ยังไม่เป็นธรรม ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าทดแทนที่ดินโจทก์ โดยนำราคาค่าทดแทนที่จำเลยที่ 2 กำหนดให้มารวมกับราคาเฉลี่ยของราคาที่สูงขึ้นในอัตราตารางวาละ 55,000 บาท ต่อปี เป็นตารางวาละ 135,000 บาทจึงเหมาะสมแล้ว ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธินำราคาสูงขึ้นของที่ดินโจทก์ที่เหลือจากการเวนคืนเป็นเงิน 3,280,000 บาทมาหักออกจากเงินค่าทดแทนที่ดินซึ่งจะต้องจ่ายให้แก่โจทก์นั้นเห็นว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530มาตรา 21 วรรคสอง บัญญัติว่า “ถ้าการงานหรือกิจการอย่างใดที่ทำไปในการเวนคืนได้กระทำให้อสังหาริมทรัพย์ที่เหลืออยู่นั้นมีราคาสูงขึ้น ให้เอาราคาที่สูงขึ้นนั้นหักออกจากเงินค่าทดแทน” เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 38163 เป็นที่ดินที่เหลือจากการเวนคืนที่ดินโฉนดเลขที่ 3151 ของโจทก์ ซึ่งต่อมาโจทก์ได้ขายไปเมื่อปี 2528 หลังจากที่ดินโจทก์ถูกเวนคืนแล้ว ที่ดินโฉนดเลขที่38163 ที่เหลือจากการเวนคืนอยู่นั้นย่อมจะมีราคาสูงขึ้น ดังนั้นจำเลยที่ 2 จึงมีสิทธินำราคาสูงขึ้นของที่ดินโจทก์ที่เหลือจากการเวนคืนคิดราคาในปี 2531 จำนวน 3,280,000 บาท มาหักออกจากเงินค่าทดแทนที่ดินซึ่งจำเลยที่ 2 จะต้องชำระให้แก่โจทก์ตามบทบัญญัติดังกล่าวด้วย ส่วนค่าทดแทนสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์ฎีกาขอเพิ่มและจำเลยที่ 1 และที่ 2 ขอให้ลดลงนั้น เห็นว่า แม้อาคารโจทก์หลังที่ทำด้วยไม้สักทองจะมีราคาแพงมากเพราะไม้สังทองหายากก็ตาม แต่ค่าทดแทนสิ่งปลูกสร้างที่โจทก์ขอมาเป็นราคาการปลูกสร้างใหม่ เมื่อคำนึงถึงสภาพอาคารและไม้เก่าที่มีอายุใช้งานได้อีกราว 10 ปี เท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าทดแทนสิ่งปลูกสร้างให้โจทก์เพิ่มขึ้นอีก 560,000บาท โดยคำนึงถึงราคาวัสดุไม้สักค่าก่อสร้าง ค่ารื้อถอนและค่าขนย้ายประกอบด้วย จึงเหมาะสมและเป็นธรรมแล้ว
สำหรับปัญหาเรื่องดอกเบี้ยที่โจทก์ขอคิดจากเงินค่าทดแทนอัตราร้อยละ 8.5 ต่อปีนั้น เห็นว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 26 วรรคสาม บัญญัติให้ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนได้รับดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคารออมสินในจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นนับแต่วันที่ได้มีการจ่ายเงินหรือวางเงินค่าทดแทน ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีคงที่นับแต่วันที่27 กุมภาพันธ์ 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ยังไม่ถูกต้องโจทก์จึงชอบที่จะได้รับดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประจำของธนาคารออมสินในจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้น
มีปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อไปว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 หรือไม่ เห็นว่า ที่ดินโจทก์ถูกเวนคืนตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในท้องที่แขวงสุรวงศ์และแขวงสีลม เขตบางรัก และแขวงยานนาวา แขงงทุ่งมหาเมฆแขวงทุ่งวัดดอนและแขวงช่องนนทรี เขตยานนาวา กรุงเทพมหานครพ.ศ. 2516 ซึ่งในมาตรา 3 กำหนดให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว และมีหน้าที่จะต้องจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่โจทก์โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1
สำหรับฎีกาโจทก์และคำแก้ฎีกาของจำเลยที่ 3 ว่ากระทรวงมหาดไทยจำเลยที่ 3 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2หรือไม่นั้น เห็นว่า ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนฯ พ.ศ. 2511 กำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกา ในฐานะดังกล่าวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยย่อมมีอำนาจหน้าที่แต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นของอสังหาริมทรัพย์และวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ. 2497 หรือพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ. 2530 แล้วแต่กรณี และมีกำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกานั้นก็เพราะการเวนคืนดังกล่าวอยู่ในวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 3 ด้วย ดังนั้นเมื่อมีการ>อ้างว่าการกำหนดเงินค่าทดแทนไม่เป็นไปตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2497 หรือพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 แล้วแต่กรณี ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนจึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 3 ได้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ด้วยและให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระดอกเบี้ยในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจำของธนาคารออมสินในจำนวนเงินค่าทดแทนที่ต้องชำระเพิ่มขึ้น แต่ไม่เกินอัตราร้อยละ 8.5 ต่อปี นับแต่วันที่27 กุมภาพันธ์ 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ทั้งนี้ดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้องต้องไม่เกินตามที่โจทก์ขอให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นศาลชั้นต้นโดยกำหนดค่าทนายความให้ 20,000 บาทนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์