คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6967/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อฟังได้ว่าโจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินมิใช่เพราะกลฉ้อฉลของจำเลยทั้งสองทั้งข้อความในสัญญาก็ไม่ระบุให้โจทก์เลิกสัญญาได้ก่อนถึงกำหนดวันโอนโจทก์จึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายและเรียกเงินมัดจำคืน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมหลอกลวงโจทก์ให้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับจำเลยทั้งสอง โจทก์จึงบอกเลิกสัญญา ให้จำเลยทั้งสองคืนเงินมัดจำแก่โจทก์แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินมัดจำพร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องจำนวน 427,500 บาทและดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน400,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับโจทก์ โดยไม่ได้รับรองต่อโจทก์ว่าที่ดินมีทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะสายดำเนินสะดวก-บางแพ และวัดธรรมกายยกที่ดินให้เป็นทางสาธารณะ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินจำนวน400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 12 กรกฎาคม 2533 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องให้ไม่เกิน 27,500 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยทั้งสองนำสืบรับกันฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2533 โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 3610 ตำบลแพงพวยอำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี เนื้อที่ 8 ไร่ 1 งาน13 ตารางวา จากจำเลยทั้งสองในราคาไร่ละ 220,000 บาทรวมเป็นเงิน 1,815,000 บาท โจทก์วางเงินมัดจำด้วยเช็คจำนวนเงิน 400,000 บาท จำเลยได้รับเงินตามเช็คแล้วต่อมาโจทก์ได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาดังกล่าวแก่จำเลยทั้งสองและเรียกเงินมัดจำคืน ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามคำแก้ฎีกาของโจทก์มีว่า โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทเพราะกลฉ้อฉลของจำเลยทั้งสองหรือไม่ ซึ่งจำเลยทั้งสองอ้างว่ามิได้ใช้กลฉ้อฉลให้โจทก์ทำสัญญา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าพยานจำเลยทั้งสองมีน้ำหนักมากกว่าพยานโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินตามฟ้อง มิใช่เพราะกลฉ้อฉลของจำเลยทั้งสองปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยทั้งสองมีว่าจำเลยทั้งสองต้องคืนเงินมัดจำให้โจทก์หรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังกล่าว ทั้งข้อความในสัญญาก็ไม่ระบุให้โจทก์เลิกสัญญาได้ก่อนถึงกำหนดวันโอน โจทก์จึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายและเรียกเงินมัดจำคืน ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองคืนเงินมัดจำแก่โจทก์ โดยวินิจฉัยว่า โจทก์ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินตามฟ้องมิได้เกิดจากกลฉ้อฉลของจำเลยทั้งสองแต่เมื่อจำเลยทั้งสองได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายและเรียกเงินมัดจำคืนแล้ว ไม่ได้แจ้งให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายตามหน้าที่ของจำเลยทั้งสองที่จะต้องกระทำตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 แสดงว่าจำเลยทั้งสองไม่ประสงค์จะให้สัญญาจะซื้อจะขายมีผลบังคับต่อไปสัญญาจะซื้อจะขายจึงเลิกกัน โจทก์และจำเลยทั้งสองจึงกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม จำเลยทั้งสองจึงต้องคืนเงินมัดจำพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391 นั้น เห็นว่า จำเลยทั้งสองได้รับหนังสือบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายและเรียกเงินมัดจำคืนตามเอกสารหมาย จ.9และ จ.11 ตามลำดับ ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้เพียง 19 วันเท่านั้นทั้งขณะที่โจทก์ฟ้องก็ยังไม่ถึงกำหนดวันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามสำเนาหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายเอกสารหมาย จ.5 ดังนั้นก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ จำเลยทั้งสองจึงยังไม่มีสิทธิแจ้งให้โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวได้ จะฟังว่าจำเลยทั้งสองไม่ประสงค์จะให้สัญญาจะซื้อจะขายมีผลบังคับต่อไป สัญญาจะซื้อจะขายจึงเลิกกัน และคู่กรณีกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมหาได้ไม่
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share